นิราศเดืà¸à¸™
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(→บทประพันธ์) |
(→ข้อมูลเบื้องต้น) |
||
แถว 1: | แถว 1: | ||
== ข้อมูลเบื้องต้น == | == ข้อมูลเบื้องต้น == | ||
+ | {{เรียงลำดับ|นิราศดเือน}} | ||
[[หมวดหมู่:วรรณคดีไทย]] | [[หมวดหมู่:วรรณคดีไทย]] | ||
[[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]] | [[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]] | ||
แถว 5: | แถว 6: | ||
[[หมวดหมู่:นิราศ]] | [[หมวดหมู่:นิราศ]] | ||
'''ผู้แต่ง:''' [[นายมี]] | '''ผู้แต่ง:''' [[นายมี]] | ||
+ | |||
== บทประพันธ์ == | == บทประพันธ์ == | ||
=== เดือนห้า === | === เดือนห้า === |
รุ่นปัจจุบันของ 14:13, 10 กรกฎาคม 2552
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: นายมี
บทประพันธ์
เดือนห้า
๏ โอ้ฤดูเดือนห้าหน้าคิมหันต์ | |||
พวกมนุษย์สุดสุขสนุกครัน | ได้ดูกันพิศวงเมื่อสงกรานต์ | ||
ทั้งผู้ดีเข็ญใจใส่อังคาส | อภิวาทพุทธรูปในวิหาร | ||
ล้วนแต่งตัวทั่วกันวันสงกรานต์ | ดูสคราญเพริศพริ้งทั้งหญิงชาย | ||
ที่เฒ่าแก่แม่หม้ายไม่ใคร่เที่ยว | สู้อดเปรี้ยวกินหวานลูกหลานหลาย | ||
ที่กำดัดขัดสีสวยทั้งกาย | เที่ยวถวายน้ำหอมน้อมศรัทธา | ||
บ้างก็มีที่สวาดิ์มาดพระสงฆ์ | ต่างจำนงนึกกำดัดขัดสิกขา | ||
ได้แต่เพียงพูดกันจำนรรจา | นานนานมากลับไปแล้วใจตรอม ฯ | ||
๏ ล้วนแต่งตัวเต็มงามทรามสวาดิ์ | ใส่สีฉาดฟุ้งเฟื่องด้วยเครื่องหอม | ||
สงกรานต์ทีตรุษทีไม่มีมอม | ประดับพร้อมแหวนเพชรเม็ดมุกดา | ||
มีเท่าไรใส่เท่านั้นฉันผู้หญิง | ดูเพริดพริ้งเพราเอกเหมือนเมขลา | ||
รามสูรเดินดินสิ้นศักดา | เที่ยวไล่คว้าบางทีก็มีเชิง | ||
บ้างเล่นเบี้ยเสียถั่วจนมัวมืด | ใครขี้ตืดถากถางวางกันเหลิง | ||
บ้างฉุดมือยื้อผ้าด่ากันเปิง | ที่รู้เชิงทำแปดเก้าเป็นเจ้ามือ | ||
เขาตัดไพ่ตายแพ้เหลือแต่ผ้า | สิ้นปัญญาบ่นพลางครางหือหือ | ||
นั่งเสียใจเต็มทีต้องหนีมือ | ไม่สัตย์ซื่อทำไพ่ตายเขาเอง | ||
ดูเขาเล่นเป็นฤดูไม่รู้ขาด | นุชนาฏพึ่งกระเตาะขึ้นเหมาะเหมง | ||
บ้างก็หลงเลยเล่นเป็นนักเลง | ฉันนี้เกรงกลัวนักไม่รักเลย | ||
ทั้งหนุ่มสาวฉาวฉานด้วยการเล่น | บ้างซุ่มเป็นผัวเมียกันเสียเฉย | ||
แต่ตัวเราเปล่าไปมิได้เชย | โอ้อกเอ๋ยคิดไปแล้วใจตรม | ||
ให้เจ็บจุกทุกข์เท่าคีรีศรี | ด้วยไม่มีคู่ชิดสนิทสนม | ||
ทุกวันนี้ใครมีซึ่งคู่ชม | สำราญรมย์เริงจิตเป็นนิจกาล | ||
เมื่อไรเล่าเรานี้จะมีบ้าง | จะได้ว่างเว้นทุกข์สนุกสนาน | ||
แต่นึกปองตรองหามาช้านาน | ทอดสะพานเข้าที่ไหนไม่ได้เลย ฯ | ||
๏ ร่ำคะนึงถึงนุชสุดวิตก | ถึงเดือนหกเข้าแล้วหนาเจ้าข้าเอ๋ย | ||
เขาแต่งงานปลูกหอขอกันเชย | เราจะเฉยอยู่ก็เห็นไม่เป็นการ | ||
เขาแรกนาแล้วมานักขัตฤกษ์ | เอิกเกริกโกนจุกทุกสถาน | ||
ที่กำดัดจัดแจงกันแต่งงาน | มงคลการตามเล่ห์ประเวณี | ||
โอ้โอ๋อกอาตมานี้อาภัพ | ทั้งไร้ทรัพย์สารพัดจะบัดสี | ||
ดูเพื่อนบ้านเขาทั้งหลายสบายดี | เขาคิดมีลูกเมียเสียทุกคน | ||
สำราญรมย์ชมน้องในห้องหอ | เฝ้าเคลียคลอเจรจาว่ากุศล | ||
ที่ยังไม่ส่งตัวนึกกลัวตน | ก็ต่างคนต่างนึกคะนึงตรอง | ||
โอ้อกเอ๋ยยังไม่เคยจะมีผัว | สงสารตัวตั้งแต่นี้มีแต่หมอง | ||
มิได้แต่งแป้งขมิ้นดินสอพอง | จะมีท้องแท้แล้วไม่แคล้วเลย | ||
เสียดายแก้มผุดผ่องจะต้องจูบ | จะซีดซูบพักตรานิจจาเอ๋ย | ||
เสียดายนมจะระบมเพราะมือเชย | ยังไม่เคยมีคู่ดูน่าอาย | ||
ไหนจะปัดฟูกหมอนนอนด้วยผัว | ไม่เหมือนตัวเปล่าเปลือยเหนื่อยใจหาย | ||
จะไม่มีก็ไม่ได้สบาย | พวกผู้ชายเจ้าชู้มักดูแคลน | ||
จะพูดเกี้ยวเลี้ยวลดให้อดสู | ถ้ามีคู่คุ้มตัวเหมือนหัวแหวน | ||
ที่ลางคนบ่นบ้าว่าน่าแค้น | พ่อแม่แค่นขืนให้ไม่ชอบใจ ฯ | ||
เดือนหก
๏ เที่ยวหลบลี้หนีสถานทิ้งบ้านช่อง | มีพวกพ้องน้าป้าไปอาศัย | ||
บ้างชอบใจรูปงามตามเขาไป | ไม่อาลัยพ่อแม่ไปแต่ตัว | ||
ที่โกนจุกได้ปีครึ่งพึ่งจะผลิ | อุตริหนักหนาอยากหาผัว | ||
ที่ลางคนนึกละห้อยน้อยใจตัว | ว่ารูปชั่วชายชังไม่หวังเชย | ||
ที่ตกพุ่มกลุ้มกลัดขัดในอก | ถึงมุ่นหมกอยู่ในใจก็ใช้เฉย | ||
แสนสงสารหญิงชายไม่วายเลย | โอ้อกเอ๋ยเราก็เป็นเหมือนเช่นกัน | ||
ไม่พ้นตัวชั่วช้าว่าแต่เขา | ตัวของเราก็เหมือนยักษ์มักกะสัน | ||
เห็นกระเตาะเข้าไม่ได้ใจเป็นควัน | เหลือจะกลั้นใจคอเที่ยวกรอกราย | ||
ถ้ามีงานใหญ่โตมโหรสพ | ขี้มักพบเห็นมากมีหลากหลาย | ||
เห็นนารีรูปงามตามแทบตาย | เพราะเมามายเรื่องรักนี้หนักจริง | ||
มีอิเหนาคราวนั้นขันหนักหนา | ทำทีท่าถูกในน้ำใจหญิง | ||
นอนละเมอเพ้อจิตคิดประวิง | ฉันหนาวจริงพ่อขุนทองประคองที | ||
อันความรักมักละเมอจนเพ้อพก | เหมือนกับอกเรียมแล้วนะแก้วพี่ | ||
ให้โหยหวนครวญหาทุกราตรี | สักกี่ปีจะได้น้องประคองนอน ฯ | ||
เดือนเจ็ด
๏ กระทั่งถึงเดือนเจ็ดไม่เสร็จโศก | บังเกิดโรคแรงหนักด้วยรักสมร | ||
สลากภัตต์จัดแจงแต่งหาบคอน | อย่างแต่ก่อนหาบกระทายมีลายทอง | ||
ใส่คานรูปนาคาวายุภักษ์ | ครั้นเดินหนักดูเต้นเผ่นผยอง | ||
แสรกน้อยร้อยพวงมาลัยกรอง | ใส่ข้าวของหาบหามตามกันมา | ||
ทุกวันนี้มีแต่จะทำแปลก | ใส่โต๊ะแบกเดินด่วนมาถ้วนหน้า | ||
สารพันเอมโอชโภชนา | ตามศรัทธาสัปปุรุษนุชอนงค์ | ||
ทั้งผู้ดีเข็ญใจก็ไปมาก | จับสลากหนังสือชื่อพระสงฆ์ | ||
รู้จักนามตามพบประสบองค์ | ต่างจำนงน้อมถวายรายกันไป | ||
พระลางองค์งงงกตกประหม่า | ให้ยถาเสียงสั่นอยู่หวั่นไหว | ||
สัปปุรุษตรวจน้ำร่ำในใจ | ที่ผู้ใหญ่หมายประโยชน์โพธิญาณ | ||
ที่หนุ่มหนุ่มสาวสาวคราวกับฉัน | นึกรำพันในจิตอธิษฐาน | ||
ให้มีเมียรูปงามทรามสะคราญ | ที่เรือนบ้านคับคั่งเขามั่งมี | ||
อนงค์นาฏปรารถนาจะหาผัว | ไม่เล่นถั่วสูบฝิ่นกินอาหนี | ||
ให้รูปงามทรามชมอุดมดี | ลางสตรีปรารถนาหาขุนนาง | ||
มีเงินทองบ่าวไพร่เครื่องใช้สอย | จะนั่งลอยนวลเป็นนายนุ่งลายอย่าง | ||
ขี่แต่เรือเก๋งพั้งลงนั่งกลาง | ไปตามทางแถวชลมีคนพาย | ||
ที่ติดพันกันอยู่ก็ชูชื่น | ไม่นึกอื่นนึกจะมีแต่ที่หมาย | ||
ที่มีแล้วฉ่ำเฉื่อยเรื่อยสบาย | ค่อนเว้นวายโศกเศร้าเบาหัวใจ | ||
กระทำมาหากินภิญโญยิ่ง | มีลูกหญิงลูกชายหมายอาศัย | ||
ที่ไม่มีฝั่งฝาให้อาลัย | เหมือนกับใจของฉันที่พรรณนา | ||
คิดถึงนุชสุดรักให้หนักอก | น้ำตาตกพร่างพรายทั้งซ้ายขวา | ||
สักเมื่อไรจะได้แนบแอบอุรา | ละห้อยหาโศกศัลย์รำพันพลางฯ | ||
เดือนแปด
๏ ถึงเดือนแปดแดดอับพยับฝน | ฤดูดลพระวษาเข้ามาขวาง | ||
จวนจะบวชเป็นพระสละนาง | อยู่เหินห่างเห็นกันเมื่อวันบุญ | ||
ประดับพุ่มบุปผาพฤกษากระถาง | รูปแรดช้างโคควายขายกันวุ่น | ||
ตุ๊กตาหน้าพราหมณ์งามละมุน | ต้นพิกุลลิ้นจี่ดูดีจริง | ||
ต้นไม้ทองเสาธงหงส์ขี้ผึ้ง | คู่สลึงเขาขายพวกชายหญิง | ||
อุณรุทยุดกินนรชะอ้อนพริ้ง | มีทุกสิ่งซื้อมาบูชาพระ | ||
ขึ้นกุฎีที่รักรู้จักสนิท | ดัดจริตพูดจาวิสาสะ | ||
พระหนุ่มหนุ่มกลุ้มใจทำไมละ | เสียงจ๋าจ๊ะเจรจาพาสบาย | ||
ถ้าญาติโยมจริงจริงแล้วนิ่งเฉย | มิใคร่เงยดูหน้าปัญญาหาย | ||
ไม่พูดมากพาดพิงให้พริ้งพราย | ดูเราะรายเรียบร้อยกระช้อยชด | ||
พรรษาหนึ่งสองพรรษาไม่ผาสุก | เข้าบ้านขลุกเลยลาสิกขาบท | ||
เหมือนน้ำอ้อยย้อยถูกจมูกมด | ใครจะอดได้เล่าพวกชาวเรา | ||
นึกคะนึงถึงนางกลางพรรษา | แต่คอยหาเช้าเย็นไม่เห็นเขา | ||
เที่ยวฟังเทศน์มิได้ขาดดูลาดเลา | เห็นแต่เขาคนอื่นไม่ชื่นตา | ||
นั่งพับเพียบเรียบร้อยน้อยไปหรือ | ประนมมือฟังธรรมเทศนา | ||
ที่ฟังจริงนิ่งตรับจนหลับตา | บ้างก้มหน้าฟังไปมิได้เงย | ||
ที่ฟังเล่นเห็นกันเป็นขวัญเนตร | ไม่ฟังเทศน์เอาบุญแม่คุณเอ๋ย | ||
มานั่งเล่นตากันฉันไม่เคย | ไม่สิ้นเลยเหล่าตะกลามกามคุณ | ||
ที่ท่านแก่แก่ตัวยังชั่วดอก | หมายจะออกห่างเหจากเมถุน | ||
ท่านอยากบวชสวดมนต์ขนเอาบุญ | ที่แรกรุ่นนี่แลร่านรำคาญใจ | ||
ด้วยความรักหนักเหลือเหมือนเรือเพียบ | จนน้ำเลียบแคมแล้วแจวไม่ไหว | ||
ถ้าผ่อนของขึ้นเสียบ้างยังชั่วใจ | แจวไปไหนไปได้ไม่หนักแรง | ||
โอ้โอ๋อกชาวเราเหล่าหนุ่มหนุ่ม | อยากใคร่สุ่มปลาหนองส่องแสวง | ||
ตัวฉันเล่าเฝ้าคลั่งด้วยยังแคลง | จะพลิกแพลงไปอย่างไรก็ไม่รู้ | ||
โอ้ไฉนจะได้สมอารมณ์รัก | ใครช่วยชักฉันจะไหว้ให้หัวหมู | ||
ยิ่งร้อนใจในคอให้หมอดู | ว่าขัดคู่หนักหนายิ่งอาดูร ฯ | ||
เดือนเก้า
๏ ถึงเดือนเก้าเศร้าสร้อยละห้อยหา | พระจันทราวันดับก็อับสูญ | ||
แต่โศกเศร้าเราเสริมขึ้นเพิ่มพูน | ไม่อับสูญไปบ้างเหมือนอย่างเดือน | ||
ไม่ได้ชมโฉมศรีไม่มีสุข | จะเปรียบทุกข์กับอะไรก็ไม่เหมือน | ||
ถึงจะมีข้าวของสักห้องเรือน | ไม่ชื่นเหมือนมีรักสักราตรี | ||
ถ้ามีคู่สู่สมภิรมย์รื่น | ทุกวันคืนปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
ถ้าไม่ได้เหมือนหมายตายเสียดี | ไปเกิดมีชาติหน้าคอยท่าน้อง | ||
โอ้ว่ากรรมจำเพาะพระเคราะห์รุด | ไม่ได้นุชเดือนเก้ายิ่งเศร้าหมอง | ||
เห็นเมฆมืดเวหาฟ้าคะนอง | พยับฟองฝนสาดอยู่ปราดปราย | ||
พายุเยือกโยกมาฟ้าก็แลบ | ดูวาบแวบแวววับแล้วดับหาย | ||
เหมือนเห็นขวัญเนตรขวับแล้วลับกาย | ราวกับสายฟ้าแลบแปลบโพยม | ||
พิรุณโรยโปรยมาเวลาดึก | คะนึงนึกถึงนางสำอางโฉม | ||
ถ้าเหาะได้จะไปพาเอามาโลม | ประคองโฉมชมเล่นไม่เว้นวาง | ||
นี่จนจิตฤทธีหามีไม่ | ยิ่งคิดไปสารพัดจะขัดขวาง | ||
ระทวยทอดกอดหมอนลงนอนคราง | กลัวจะค้างมรสุมกลุ้มหัวใจ | ||
ยิ่งคิดคิดจิตลอยละห้อยหา | ชลนาเอิบอาบพิลาปไหล | ||
กลางคืนหนาวกลางวันร้อนอ่อนฤทัย | เมื่อครั้งไรจะพ้นข้อทรมาน ฯ | ||
เดือนสิบ
๏ ถึงเดือนสิบเห็นกันเมื่อวันสารท | ใส่อังคาสโภชนากระยาหาร | ||
กระยาสารทกล้วยไข่ใส่โตกพาน | พวกชาวบ้านถ้วนหน้าสาธารณะ | ||
เจ้างามคมห่มสีชุลีนบ | แล้วจับจบทัพพีน้อมศรีษะ | ||
หยิบข้าวของกระยาสารทใส่บาตรพระ | ธารณะเสร็จสรรพกลับมาเรือน | ||
พอลับเนตรเชษฐาอุราร้อน | แสนอาวรณ์โหยไห้ใครจะเหมือน | ||
ไม่รู้ที่จะวานใครไปตักเตือน | ให้มาเยือนเยี่ยมพี่ถึงที่นอน | ||
ถ้าเข้าชิดอิดออดจะกอดรัด | สอดสัมผัสเคล้นทรวงดวงสมร | ||
แม้นข่วนหยิกพลิกหันจะกันกร | ทำแง่งอนพี่จะง้อให้ท้อใจ | ||
จะเป่าด้วยคาถามหาเสน่ห์ | อิทธิเจทำผงให้หลงใหล | ||
โอ้ยามนี้โฉมตรูก็อยู่ไกล | ทำไฉนจะได้มิตรมาชิดเชย | ||
ขอเชิญเทพทุกสถานพิมานสถิต | ช่วยเตือนมิตรให้มาเยือนอย่าเชือนเฉย | ||
อย่าให้เรียมคอยท่าอยู่ช้าเลย | ไม่ได้เชยนุชอนงค์ฉันคงตาย | ||
อันหญิงอื่นดื่นไปในไตรจักร | ไม่นึกรักเหมือนนุชที่สุดหมาย | ||
ขอให้ได้แนบน้องประคองกาย | อย่าคลาดคลายตราบเท่าเข้านิพพาน | ||
ยิ่งรำพันหวั่นไหวให้สะอื้น | ถ้างามชื่นเห็นคงจะสงสาร | ||
แม้นแลกเปลี่ยนน้ำใจอาลัยลาญ | คงรำคาญเหมือนเรียมที่เตรียมตรอม | ||
ถ้ายอดรักรักรวบประจวบจิต | คงได้ชิดเชยแนบแอบถนอม | ||
จะประโลมโฉมเฉลิมเป็นเจิมจอม | ให้เพริศพร้อมพริ้งพรายสบายบาน | ||
จะตั้งตึกปึกแผ่นให้แน่นหนา | มีเงินตรากินกลุ่มเป็นภูมิฐาน | ||
ช่วยข้าคนบ่าวไพร่ไว้ใช้การ | ให้เยาวมาลย์ชื่นชมภิรมย์ใจ | ||
ที่นอนตรึกนึกนิยมสมบัติบ้า | ก็เพราะว่าความรักมักหลงใหล | ||
สิ้นเดือนสิบลิบลับนับแต่ไกล | ยังไม่ได้กัลยาน้ำตาริน ฯ | ||
เดือนสิบเอ็ด
๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จธุระพระพรรษา | ชาวพาราเซ็งแซ่แห่กฐิน | ||
ลงเรือเพียบพายยกเหมือนนกบิน | กระแสสินธุ์สาดปรายกระจายฟอง | ||
สนุกสนานขานยาวสาวสนั่น | บ้างแข่งกันต่อสู้เป็นคู่สอง | ||
แพ้ชนะปะตาพูดจาลอง | ตามทำนองเล่นกฐินสิ้นทุกปี | ||
ไปช่วยแห่เห็นกันกระสันสวาท | นุชนาฏพายเรือใส่เสื้อสี | ||
จนเปียกชุ่มตุ่มตั้งอลั่งดี | เส้นเกศีโศกสร้อยก็พลอยยับ | ||
เหมือนตกแสกแบกโศกไว้สักพ้อม | ดูมัวมอมหน้าตาเมื่อขากลับ | ||
ถึงบ้านบอบหอบอ่อนลงนอนพับ | ตานั้นหลับใจตรึกนึกถึงพาย | ||
บ้างว่ากันวันนี้พี่คนนั้น | ช่างดูฉันนี่กระไรน่าใจหาย | ||
บ้างแกล้งพูดดังดังว่าชังชาย | เบื่อจะตายไปกฐินเขานินทา | ||
ได้ยินพูดเช่นนี้ก็มีมาก | พูดแต่ปากใจรนเที่ยวซนหา | ||
การโลกีย์มีทั่วทั้งโลกา | ใครบ่นบ้าว่าเบื่อไม่เชื่อเลย | ||
ถึงตัวเรานี้เล่าก็เร่าร้อน | แสนอาวรณ์วิญญาณ์นิจจาเอ๋ย | ||
ไม่ว่าเล่นเป็นบ้าหลังด้วยหวังเชย | ยิ่งเคยเคยแล้วยิ่งคิดเป็นนิจกาล | ||
ทุกค่ำรุ่งมุ่งมาดปรารถนา | จะพรรณนาสุดคิดให้วิตถาร | ||
ในเล่ห์กลโลกาห้าประการ | ฉันรำคาญสุดที่จะชี้แจง ฯ | ||
เดือนสิบสอง
๏ เดือนสิบสองล่องลอยกระทงหลวง | ชนทั้งปวงลอยตามอร่ามแสง | ||
ดอกไม้ไฟโชติช่วงเป็นดวงแดง | ทั้งพลุแรงตึงตังดังสะท้าน | ||
เสียงนกบินพราดพรวดกรวดไอ้ตื้อ | เสียงหวอหวือเฮฮาอยู่ฉ่าฉาน | ||
ล้วนผู้คนล้นหลามตามสะพาน | อลหม่านนาวาในสาคร | ||
บ้างก็แห่ผ้าป่าพฤกษาปัก | มีเรือชักเซ็งแซ่แลสลอน | ||
ขับประโคมดนตรีมีละคร | อรชรรำร่าอยู่หน้าเรือ | ||
บ้างก็ร้องสักวาใส่หน้าทับ | ลูกคู่รับพร้อมเพราะเสนาะเหลือ | ||
ฟังสำเนียงเสียงสตรีไม่มีเครือ | เป็นใยเยื่อจับในน้ำใจชาย | ||
ฟังสำเนียงเสียงนางที่กลางน้ำ | แล้วหวนรำลึกนุชที่สุดหมาย | ||
กลับมานอนอ่อนทอดระทวยกาย | เฝ้าฟูมฟายชลนาทุกราตรี | ||
นอนไม่หลับกลับลุกเปิดหน้าต่าง | จันทร์กระจ่างแจ่มฟ้าในราศี | ||
เห็นดวงเดือนเหมือนพักตร์ภคินี | ยุพินพี่อยู่ไกลนัยนา | ||
พี่นั่งคอยนอนคอยละห้อยหวน | แสนรัญจวนมิได้สิ้นถวิลหา | ||
เห็นราหูจู่จับพระจันทรา | ชาวพาราอื้ออึงคะนึงดัง | ||
พิลึกลั่นครั่นครึกเสียงกึกก้อง | ระฆังฆ้องกลองแซ่ทั้งแตรสังข์ | ||
ประดังเสียงเพียงพื้นพิภพพัง | มีทุกครั้งดังทุกคราวฉาวทุกที | ||
โอ้ว่าดวงจันทร์เจ้าดูเศร้าหมอง | ไม่ผุดผ่องเผือดอับพยับสี | ||
อยู่ในปากราหูอสุรี | มีนาทีปล่อยปละสละกัน | ||
แต่ตัวพี่มิได้มีนาทีชื่น | ทุกวันคืนเฝ้าวิโยคด้วยโศกศัลย์ | ||
ครวญคะนึงถึงมิตรที่ติดพัน | พี่ชมจันทร์ต่างเจ้าเยาวมาลย์ | ||
เมื่อวันมีเทศนามหาชาติ | ได้เห็นนาฏนุชอนงค์ยอดสงสาร | ||
สัปปุรุษคับคั่งฟังกุมาร | ชัชวาลแจ่มแจ้งด้วยแสงเทียน | ||
พี่ฟังธรรมเทศน์จบไม่พบน้อง | เที่ยวเมียงมองเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน | ||
ไม่พบพักตร์เยาวมาลย์ในการเปรียญ | ก็วนเวียนมาบ้านรำคาญใจฯ | ||
เดือนอ้าย
๏ ถึงฤดูเดือนอ้ายไม่ได้สมร | ยิ่งหนาวนอนทอดประทับไม่หลับไหล | ||
ถึงกอดหมอนนอนนิ่งแล้วผิงไฟ | ไม่อุ่นใจเหมือนกอดแม่ยอดรัก | ||
พี่เป็นทุกข์ทุกเดือนเหมือนจะม้วย | ใครจะช่วยทุกข์ได้ไม่ประจักษ์ | ||
ให้คับแค้นวิญญาณ์หนักหนานัก | จนสุดรักสุดฤทธิ์จะคิดการ | ||
ให้สุดแค้นแสนวิตกในอกพี่ | เหมือนพระสี่เสาร์กษัตริย์พลัดสถาน | ||
พระเสาร์ทับชันษาอยู่ช้านาน | พระภูบาลเป็นบ้าเข้าป่าไป | ||
ถึงกระนั้นพระองค์ก็คงหาย | กลับสบายคืนมาพาราได้ | ||
แต่ทุกข์พี่นี้ยิ่งกว่านั้นไป | ทำกระไรจะได้ชื่นทุกคืนวัน | ||
เป็นเคราะห์กรรมซ้ำแซกเข้าแรกรุ่น | มาหมกมุ่นด้วยผู้หญิงจริงจริงฉัน | ||
แม่โลกีย์เจ้ากรรมแกทำครัน | จะบากบั่นก็ไม่ขาดประหลาดใจ | ||
ยิ่งเห็นหน้ามิ่งมิตรให้คิดรัก | อกจะหักเสียแล้วกรรมทำไฉน | ||
ชะรอยเป็นคู่สร้างหรืออย่างไร | จึงอาลัยถึงนางงามสามฤดู | ||
ยกเอาเรื่องในใจใส่สมุด | ถ้านงนุชทราบเรื่องคงเคืองหู | ||
อันความรักมักคลั่งตั้งกระทู้ | มีทุกผู้ทุกคนไม่พ้นเลย ฯ | ||
เดือนยี่
๏ ครั้นล่วงเข้าเดือนยี่ทวีหนาว | นางสาวสาวอาบน้ำทำหน้าเฉย | ||
อุตส่าห์แต่งบำรุงกายให้ชายเชย | ไม่ขาดเลยแป้งขมิ้นดินสอพอง | ||
ไม่ใคร่ผิงอัคคีกลัวศรีเสีย | อะลิ้มอะเหลี่ยเหลือดีไม่มีหมอง | ||
ดัดปีกเปิดเลิศล้วนนวลละออง | อนงค์น้องน่ารักลักขณา | ||
บ้างก็กางคันฉ่องส่องกระจก | เห็นผมดกคิ้วดำขำหนักหนา | ||
อุตส่าห์ถอนอุตส่าห์ตัดหัดเล่นตา | เป็นวิชาชวนชายให้ตายใจ | ||
บ้างหัดยิ้มพริ้มพรายขยายแก้ม | เอาหมึกแต้มให้ดำทำเป็นไฝ | ||
ล้วนแต่งตัวทั่วกันทุกวันไป | นี่หรือใครจะไม่รักภัคินี | ||
ทั้งขาวขำสำอางเหมือนอย่างปั้น | ย่อมหวานมันเหมือนกันหมดรสอิตถี | ||
ผูกสายสร้อยข้อมือลือว่ามี | ทุกวันนี้นับถือข้อมือทอง | ||
บ้างก็ไปวัดวาหาหลวงพี่ | ขึ้นกุฎีน้อมกายถวายของ | ||
ใครไม่รู้ดูทีเหมือนพี่น้อง | เขาแอบมองลอบดูรู้อุบาย | ||
ธรรมดาว่ารักเขามักรู้ | เพราะตาหูบอกเหตุสังเกตง่าย | ||
จะเจรจาพาทีมีแยบคาย | ใครอย่าหมายว่าจะปิดไม่มิดเลย | ||
เช่นทำนองของฉันทุกวันเล่า | เขารู้เท่าทั้งนั้นฉันก็เฉย | ||
โอ้โอ๋อกของชายที่หมายเชย | ยังไม่เคยแล้วยิ่งคิดจิตระบม | ||
สิบเดือนถ้วนครวญหามารศรี | มิได้มีความสบายเท่าปลายผม | ||
เฝ้าคิดถึงสาลิกาป่าชะอม | น้ำค้างพรมพรั่งพราวหนาวหัวใจ | ||
ไม่เห็นมาเยี่ยมเยือนจนเดือนยี่ | เจ้าปักษีโบยบินไปถิ่นไหน | ||
สุริยาอัสดงคต์ลงไรไร | โอ้อาลัยสาลิกาน้ำตานอง | ||
โฉมยุพินกินรีเจ้าพี่เอ๋ย | เมื่อไรเลยจะได้ชมประสมสอง | ||
ดูผิวเหลืองเรือดีเป็นสีทอง | ได้ประคองแล้วจะชื่นทุกคืนวัน | ||
ดอกโกมุทบุษบามณฑาทิพย์ | วิไลลิบลอยล่องของสวรรค์ | ||
ถ้าหล่นลงตรงพี่จะดีครัน | คงลือลั่นโลกาสุธาสะเทือน | ||
แม่ดวงแก้วนพเก้าเสาวภาคย์ | พี่ฝังฝากรักใคร่ใครจะเหมือน | ||
ให้หมกมุ่นวุ่นวายมาหลายเดือน | สติเฟือนคลั่งไคล้ในใจตรมฯ | ||
เดือนสาม
๏ ถึงเดือนสามความโศกไม่เลื่อมสูญ | จันทร์จำรูญแสงงามยามปฐม | ||
ดารารายพรายพร่างน้ำค้างพรม | พี่นั่งชมจันทร์เพ็งเปล่งโพยม | ||
ดูแวววับเวหาล้วนดาเรศ | เหมือนดวงเนตรนุชนางสำอางโฉม | ||
ดูกระพริบริบแดงดังแสงโคม | ลอยโพยมล้อมจันทร์พรรณราย | ||
พี่นั่งชมตรมตรึกดึกสงัด | น้ำค้างหยัดเยือกเย็นกระเซ็นสาย | ||
บุปผาเผยกลีบก้านบานกระจาย | ต้องพระพายหอมกระถินดังกลิ่นนาง | ||
พี่เคลิ้มคลั่งนั่งอยู่ดูมะลิ | ลืมสติหลงพลอดกอดกระถาง | ||
ฟังเป็นเสียงสายสมรวอนให้วาง | จึงปลอบนางทางว่าด้วยอาลัย | ||
พี่นั่งคอยนอนคอยน้อยไปหรือ | ขอถูกมือยอดรักอย่าผลักไส | ||
พอรู้สึกนึกเขินเดินออกไป | ถ้าแม้นใครเห็นฉันแล้วขันจริง | ||
ราวกับถูกยาแฝดสักแปดโถ | จะซูบโซเสียศรีดังผีสิง | ||
พระอภัยหลงรูปวาดหวาดประวิง | เรากลับยิ่งกว่าพระอภัยไป | ||
ถ้ามิได้นวลหงส์ฉันคงม้วย | ใครจะช่วยดับเข็ญเห็นไม่ไหว | ||
หรือจะเหมือนมดแดงน่าแคลงใจ | ให้สงสัยวิญญาณ์เป็นอาจิณ | ||
ดูตำราว่าพฤหัสเป็นปัตนิ | ตามลัทธิว่าคู่อยู่ทักษิณ | ||
ช่างพูดจาตาดำดังน้ำนิล | ก็สมสิ้นเหมือนตำราสารพัน | ||
เออก็ขัดด้วยอะไรไฉนหนอ | แต่รีรอรักนุชสุดกระสัน | ||
เห็นที่อื่นดื่นดาดไม่ขาดวัน | จะรักกันก็ประเดี๋ยวเมื่อเกี้ยวพาน | ||
เหมือนแสบท้องต้องขืนกลืนข้าวตาก | ระคายปากไม่ละมุนเหมือนวุ้นหวาน | ||
เหมือนอดข้าวกินมันยากกันดาร | กว่าจะพานพบของที่ต้องใจ | ||
กระแจะจันทน์คันธาบุปผาสด | ไม่เหมือนรสมิ่งมิตรพิสมัย | ||
ประเวณีมีจบภพไตร | ไม่ว่าใครทุกตัวทั่วโลกา ฯ | ||
เดือนสี่ และบทส่งท้าย
๏ ถึงเดือนสี่ปีสุดจะตรุษใหม่ | ยังไม่ได้นุชนาฏที่ปรารถนา | ||
ฟังเสียงปืนยืนยัดอัฏฏะนา | รอบมหานัคเรศนิเวศน์วัง | ||
ถ้าความทุกข์เราดังเหมือนยังปืน | พิภพพื้นก็จะไหวเหมือนใจหวัง | ||
นวลหงส์คงจะรู้ถึงหูดัง | จะนอนฟังทุกข์พี่ไม่มีเว้น | ||
ทุกวันคืนเดือนปีไม่มีหยุด | พี่แสนสุดทุกข์ใจใครจะเห็น | ||
ในทรวงซ้ำเหมือนเขาเชือดเลือดกระเด็น | ใครจะเห็นเช่นข้าทั้งธานี | ||
ความรักนุชสุดหลงพะวงจิต | จนลืมคิดญาติกาน่าบัดสี | ||
ลืมบิดรมารดาทั้งตาปี | เหมือนไม่มีกตัญญูดูเถิดเรา | ||
พอใจรักแม่เลี้ยงว่าเสียงเพราะ | เฝ้าฉอเลาะก็ไม่ได้อะไรเขา | ||
รักคนอื่นลืมตัวจนมัวเมา | อุตส่าห์เฝ้าไม่ไปข้างไหนเลย | ||
จะได้หรือมิได้ให้รู้แน่ | เห็นจะแก่เสียเปล่าแล้วเราเอ๋ย | ||
สงสารใจใจคิดจะชิดเชย | สงสารตัวตัวเอ๋ยจะเอกา | ||
สงสารมือมือหมายจะก่ายกอด | สงสารปากปากพลอดให้หนักหนา | ||
สงสารอกอกโอ้อนิจจา | ใครจะมาแอบอกให้อุ่นใจ | ||
สงสารหลังหลังหมายจะให้จุด | สงสารสุดเวทนาน้ำตาไหล | ||
สงสารตาตาพี่แต่นี้ไป | จะดูใครต่างเจ้าจะเปล่าตา | ||
โอ้อกเรามีกรรมทำไฉน | จึงจะได้แนบชิดขนิษฐา | ||
ได้แต่ชื่อไว้ชมตรมอุรา | ถึงได้ผ้าไว้ห่มก็ตรมใจ | ||
ถึงได้แหวนไว้ชมก็ตรมจิต | ไม่เหมือนได้มิ่งมิตรพิสมัย | ||
ได้ของอื่นหมื่นแสนในแดนไตร | ไม่เหมือนได้นิ่มน้องประคองนอน | ||
จะว่าโศกโศกอะไรที่ในโลก | ไม่เท่าโศกใจเหมือนหนักรักสมร | ||
จะว่าหนักหนักอะไรในดินดอน | ถึงสิงขรก็ไม่หนักเหมือนรักกัน | ||
จะว่าเจ็บเจ็บแผลพอแก้หาย | ถ้าเจ็บกายแล้วชีวาจะอาสัญ | ||
แต่เจ็บแค้นนี่แลแสนจะเจ็บครัน | สุดจะกลั้นสุดจะกลืนขืนอารมณ์ | ||
จะว่าขมขมอะไรในพิภพ | ไม่อาจลบบอระเพ็ดที่เข็ดขม | ||
ถึงดาบคมก็ไม่สู้คารมคม | จะว่าลมลมปากนี้มากแรง | ||
จะว่าเมาเมาอะไรก็ไม่หนัก | อันเมารักเช่นนี้มีทุกแห่ง | ||
เกิดยุ่งยิ่งชิงกันถึงฟันแทง | ใครพลาดแพลงล้มตายวายชีวา | ||
บ้างชกต่อยกันบอบลอบตีหัว | เขาจับตัวใส่คุกทุกข์หนักหนา | ||
อันโกรธขึ้งหึงกันทุกวันมา | เพราะตัณหาตัวเดียวมันเรี่ยวแรง | ||
จนพระเณรเถรตู้อยู่ไม่ได้ | สึกออกไปซัดเพลาะเที่ยวเสาะแสวง | ||
บ้างร้อนตัวกลัวจะอดเหมือนมดแดง | นอนตะแคงคว่ำหงายวุ่นวายใจ | ||
บ้างก็แต่งเพลงยาวไปน้าวโน้ม | ว่ารักโฉมมิ่งมิตรพิสมัย | ||
พอลงเอยให้แม่สื่อถือเอาไป | แต่ละใบราคาถึงตำลึงทอง | ||
บ้างถูกแม่สื่อหลอกปอกเอาหมด | เจ็บอกอดอับอายเสียดายของ | ||
ถ้าแม่สื่อซื่อตรงคงได้ครอง | เป็นหอห้องเรือนเรือตามเชื้อวงศ์ | ||
บ้างรักเขาข้างเดียวลงเคี่ยวเข็ญ | บ้างก็เป็นสังฆการีสึกชีสงฆ์ | ||
วิสัยพระทุกวัดขัดทุกองค์ | ถ้าลาภตรงมาหาเปลื้องผ้าไตร | ||
บ้างก็ถูกลมหลอกออกมาเก้อ | ชักสะพานแหงนเถ่อน้ำตาไหล | ||
ไม่ได้เมียเสียของร้องเอาใคร | กลับบวชใหม่สวดมนต์ไปจนตาย | ||
เขาว่าพระคราวนั้นก็ขันอยู่ | บวชเณรรู้ไว้เป็นศิษย์ดังจิตหมาย | ||
ท่านจับสึกสักหน้าพากันอาย | พวกหญิงชายลือดังทั้งพิภพ | ||
เพราะโลกีย์ฟั่นเผือเหลือสละ | แต่เป็นพระแล้วยังคิดผิดขนบ | ||
นี่หรือคฤหัสถ์จะไม่โลภละโมบมบ | ให้ปรารถเรื่องผู้หญิงประวิงวน | ||
จะพรรณนาว่าไปไหนจะหมด | เหลือกำหนดนับไม่เสร็จเหมือนเม็ดฝน | ||
มิใช่ฉันหยาบช้าแกล้งว่าคน | อย่าร้อนรนร้าวรานรำคาญเคือง | ||
ฉันคนชั่วตัวโศกเป็นโรครัก | อกจะหักเสียด้วยตรอมจนผอมเหลือง | ||
สวาทหวังตั้งจิตเป็นนิตย์เนือง | จึงแต่งเรื่องรักไว้ให้คนฟัง | ||
ไว้อ่านเล่นเป็นที่ประกันทุกข์ | ให้ผาสุกตามประสาที่บ้าหลัง | ||
ท่านทั้งหลายชายหญิงอย่าชิงชัง | ฉันต่อตั้งแต่งความตามทำนอง | ||
อันเรื่องราวตัณหานี้สาหัส | ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง | ||
อุตส่าห์หัดวิชาหาเงินทอง | ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน | ||
ถึงยากจนซนหาประสายาก | ที่มีมากตั้งกองครองสงวน | ||
บ้างก็ชอบชาววังรังกระบวน | เนื้อก็นวลเสียงก็หวานขานก็เพราะ | ||
ที่เต็มอัดกลัดมันกลั้นไม่หยุด | ก็รีบรุดเร็วรัดไปวัดเกาะ | ||
เป็นเงินแดงแย่งยุดฉุดเอาเพลาะ | เถียงทะเลาะวุ่นวายไม่อายกัน | ||
เพราะโลกีย์เจ้ากรรมแกทำเข็ญ | เผอิญเป็นทั่วโลกให้โศกศัลย์ | ||
ถึงเทวบุตรภุชงค์พงศ์สุบรรณ | ก็เหมือนกันกับเราที่เศร้าใจ | ||
ถ้ารักกันลั่นเปรี้ยงดังเสียงฟ้า | หูจะชาเสียด้วยดังฟังไม่ไหว | ||
แต่เงียบเงียบสิยังอึงคะนึงไป | ราวกับไฟไหม้ฟางสว่างโพลง | ||
ถ้าคนอื่นตรึกตรองก็ต้องที่ | แต่เรานี้วุ่นวายแทบตายโหง | ||
ก็มิได้สายสมรนอนคลุมโปง | ยังดังโด่งพลอยเขาน่าเศร้าใจ | ||
แต่นั่งตรึกนอนตรึกนึกถึงน้อง | แม้นจะรองชลนาสักห้าไห | ||
ถ้าใครแย่งแกล้งพาขวัญตาไป | คงจะใส่เสียให้ยับไม่นับชิ้น | ||
จะถากเชือดเลือดเนื้อเอาเกลือประ | สับศรีษะเสียให้สมอารมณ์ถวิล | ||
จะทิ้งให้กาแร้งมันแย่งกิน | จึงจะสิ้นความแค้นแน่นอุรา | ||
เอ๊ะอะไรใจจิตคิดฉะนี้ | ไม่ควรที่โกรธขึ้งด้วยหึงสา | ||
จะเป็นเวรเปล่าเปล่าไม่เข้ายา | จิตหนาอย่าอำมะหิตให้ผิดคน | ||
เมื่อรักเขาเล่าก็รักอยู่นิ่งนิ่ง | ถึงใครชิงนางงามตามกุศล | ||
ถ้าคู่แท้แลจะไปข้างไหนพ้น | อย่าร้อนรนไปนักจงหักใจ | ||
ครั้นคิดให้หายหึงไม่ขึ้งโกรธ | ค่อยปราโมทย์ยิ้มย่องสนองไข | ||
ที่จริงจิตฉันไม่กล้าจะฆ่าใคร | ตั้งหม้อใหญ่ไว้กระนั้นดีฉันเอง | ||
แต่ความรักรักจริงไม่ทิ้งรัก | ยังไม่หักได้ก่อนลงนอนเขลง | ||
น่าหัวร่อหนอเราไม่เข้าเพลง | พูดเอาเองเออเองออกวุ่นวาย | ||
ด้วยความรักหนักแน่นแสนจะคลั่ง | เหลือกำลังที่จะหักให้รักหาย | ||
ถ้าสมรักนั่นแลฉันพลันสบาย | ไม่เหมือนหมายแล้วเห็นไม่เป็นคน | ||
ทำกระไรโฉมเฉลาจะเข้าใกล้ | ฉันจะได้ฝากรักเสียสักหน | ||
ขอเป็นข้านางงามไปตามจน | จะสู้ทนทุบถองให้น้องใช้ | ||
ยิ่งรำพันปั่นป่วนรัญจวนจิต | ถ้าแม้นผิดที่นี้แล้วที่ไหน | ||
เหมือนหมายไม้กลางป่าพนาลัย | สุดจะหมายที่จะมุ่งผดุงปอง | ||
จะเอาจริงอย่างไรไม่ได้แน่ | ให้มีแต่ทรัพย์นึกไม่ตรึกถอง | ||
ถ้านึกได้เหมือนนึกที่ตรึกตรอง | จะนอนร้องละครเล่นให้เย็นใจ | ||
นึกนึกแล้วก็เปล่าเรายิ่งวุ่น | เจ้าประคุณน้ำตาพากันไหล | ||
ท่านเจ้าจอมหม่อมจิตนี้คิดไป | แสนอาลัยเพียงกายจะวายชนม์ | ||
เต็มกระเดือกเสือกกระแด่วอยู่แล้วหนอ | จะสู่ขอสารพัดจะขัดสน | ||
จะกระโจมโถมเอาเราก็จน | ครั้นจะทนอยู่เล่าเราก็ทุกข์ | ||
ไม่ได้ตามความรักเลยสักท่า | ทุกทิวาราตรีไม่มีสุข | ||
เฝ้ารบรบเร้าเร้าจนเขาลุก | โอ้แม่ตุ๊กตางาไม่ปรานี | ||
จำจะแต่งเพลงยาวไปน้าวโน้ม | ว่ารักโฉมนพคุณจำรูญศรี | ||
งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งอินทรีย์ | ตั้งแต่พี่ได้เห็นไม่เว้นคะนึง ฯ | ||
๏ จึงสอดส่งศุภอรรถมาบัดนี้ | ว่าสุดที่เจรจามาไม่ถึง | ||
แสนอาวรณ์ร้อนจิตดังกฤชตรึง | ประดุจหนึ่งชีวันจะบรรลัย | ||
ไม่มีสุขทุกข์เท่าคีรีศรี | เพราะไม่มีฝั่งฝาที่อาศัย | ||
ให้เปลี่ยวเปล่าเช้าเย็นไม่เห็นใคร | ที่จะได้ชมชื่นทุกคืนวัน | ||
เห็นแต่น้องต้องใจพี่หมายพึ่ง | อย่าสูญซึ่งไมตรีของดีฉัน | ||
อันตัวเรียมเหมือนกระต่ายที่หมายจันทร์ | ถึงกระนั้นสุดแท้แต่ปรานี | ||
เอ็นดูด้วยช่วยดับระงับทุกข์ | ให้เป็นสุขปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
อันความรักหนักแน่นแสนทวี | ไม่รู้ที่เปรียบปานสถานใด | ||
ทรามประโลมโฉมงามอย่าคร้ามจิต | จงร่วมคิดร่วมรักอย่าผลักไส | ||
ถึงสุดสิ้นดินฟ้าอย่าสูญใจ | อย่าตัดไมตรีเรียมให้เตรียมตรอม | ||
ถ้าได้ชมนิ่มน้องประคองขวัญ | เหมือนได้นางในสวรรค์มาแนบถนอม | ||
มิให้ริ้นเลือดไรมาไต่ตอม | พี่จะกล่อมให้นอนกับหมอนอิง | ||
ทุกวันคืนตื่นหลับจะรับขวัญ | ไม่ผายผันห่างห้องแม่น้องหญิง | ||
จะม้วยด้วยเยาวยอดไม่ทอดทิ้ง | เป็นความจริงแก้วตาอย่าตัดรอน | ||
ขอให้พี่ได้สมอารมณ์รัก | พิศพักตร์ภิญโญสโมสร | ||
จงเล็งเห็นพี่ยาที่อาวรณ์ | อย่าควรข้อนคิดแหนงแคลงอารมณ์ | ||
เป็นบุญนำจำเพาะเสาะมาพบ | ก็ควรคบเคียงชิดสนิทสนม | ||
อย่าเบือนบิดคิดหนีให้พี่ตรม | แม่ทรามชมจงมาเมตตาเอยฯ | ||
๏ ครั้นแต่งสารเสร็จส่งถึงนงสักษณ์ | แม่ยอดรักรู้แจ้งก็แกล้งเฉย | ||
ยิ่งเศร้าสร้อยน้อยใจกระไรเลย | ไม่ได้เชยน้องแก้วแล้วกระมัง | ||
ยิ่งคิดไปใจหายไม่วายรัก | รำพันนักก็จะว่าเป็นบ้าหลัง | ||
ที่ท่านชอบน้ำใจจะใคร่ฟัง | ที่ท่านชังท่าจะด่าเป็นบ้ากาม | ||
ใครอยู่ดูเยี่ยงข้าหนาพ่อแม่ | ลำบากแท้ยิ่งกว่าหลงเข้าดงหนาม | ||
ถ้าใครรักประโลมลูบแต่รูปงาม | บังเกิดความทุกข์นานรำคาญใจ | ||
ถ้ารักเขาเขาชังไม่หวังรัก | ก็ทุกข์นักทุกข์หนาเลือดตาไหล | ||
ถ้าถ้อยทีถ้อยรักก็คงไว | คงจะได้เชยชิดสนิทกัน | ||
งามมิงามฉันไม่ว่าถ้าควรคู่ | อุตส่าห์โอบอ้อมถนอมขวัญ | ||
เขมรลาวชาวพม่าแลรามัญ | ถ้ารักฉันก็รักไม่พักวอน | ||
ที่กลางแห่งท่านก็ถือทำหื้อหา | ต่างภาษาแล้วไม่ขอสโมสร | ||
บ้างเลือกไปเลือกมาปาเอามอญ | ต้องง้องอนอิงแอบเขาแทบตาย | ||
ที่ไม่เลือกได้ดีก็มีถม | ภิรมย์สมนุชนาฏไม่ขาดสาย | ||
ไม่ขัดสนพ้นที่จะอภิปราย | ท่านทั้งหลายฟังรู้อยู่แก่ใจ | ||
ว่าด้วยเรื่องตัณหาแล้วน่าเกลียด | ฉันขี้เกียจอธิบายน้ำลายไหล | ||
สำหรับโลภโศกศัลย์ทุกวันไป | กว่าจะได้พระนิพพานสำราญครัน | ||
จะเวียนตายเวียนเกิดกำเนิดนับ | สักกี่กัปป์จึ่งจะสิ้นที่โศกศัลย์ | ||
กิเลสเล่าเมามัวเข้าพัวพัน | มัดกระสันฝูงสัตว์อยู่รัดรึง | ||
ทำกระไรจะได้รอดตลอดล่วง | ให้พ้นห่วงตัณหาราคาขึง | ||
ฉันก็นึกเหนื่อยหน่ายหายคะนึง | ให้คิดถึงชีวิตอนิจจัง | ||
เดือนก็จบครบปีเดือนสี่สิ้น | ใครอย่าได้นินทาว่าลับหลัง | ||
เอาเรื่องรักชักเหตุเทศน์ให้ฟัง | ก็เอวังหมดทีเท่านี้เอย ฯ | ||