นิราศหนà¸à¸‡à¸„าย
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(→) |
(→) |
||
แถว 2,189: | แถว 2,189: | ||
สมทบทัพกับพระยามหาอำมาตย์ อย่าให้ขาดริ้วทัพบังคับไข | สมทบทัพกับพระยามหาอำมาตย์ อย่าให้ขาดริ้วทัพบังคับไข | ||
จัดทำนาหาเสบียงพร้อมเพรียงไว้ อยู่ที่ในหนองคายจงหลายพัน | จัดทำนาหาเสบียงพร้อมเพรียงไว้ อยู่ที่ในหนองคายจงหลายพัน | ||
+ | แล้งปีชวดอัฐศกได้ยกทัพ เข้าประจญรบรับให้คับขัน | ||
+ | อย่าให้ตั้งมั่วสุมชุมนุมกัน ในเขตขัณฑ์เมืองพวนให้ควรการ | ||
+ | กรมทหารอีกกองไปหนองคาย ทั้งไพร่นายสำหรับจัดหัดทหาร | ||
+ | ให้พวกลาวไวว่องคล่องชำนาญ ประจัญบานรบฮ่อต่อศักดา | ||
+ | แต่กรมพระสัสดีมิให้ขาด พระพิบูลย์พระชาติปีกซ้ายขวา | ||
+ | กรมเรือกันทั้งสองตามท้องตรา บังคับมาเสร็จสรรพให้กลับไป | ||
+ | แต่กรมพลพรรค์นั้นมีแจ้ง กรมแสงเสร็จสรรพบังคับไข | ||
+ | จงยกกลับพร้อมเพรียงคืนเวียงชัย ต่างดีใจได้สมอารมณ์ปอง | ||
+ | น่าสงสารพวกที่ต้องไปหนองคาย ทั้งไพร่นายง่วงเหงาจิตเศร้าหมอง | ||
+ | อนิจจาน่าสังเวชน้ำเนตรนอง ทุกหมวดกองเหงาหงอยโศกสร้อยครวญ | ||
+ | ข้างพวกเรานั้นไซร้จะได้กลับ ทั้งกองทัพฮาลั่นเสียงสันต์สรวล | ||
+ | เอิกเกริกเริงร่าน่าสำรวล แต่แล้วล้วนกลับคืนหน้าชื่นบาน | ||
+ | แต่เจ้าคุณแม่ทัพจะกลับถิ่น จิตถวิลใจพะวงคิดสงสาร | ||
+ | จะพลัดพรากจากไปอาลัยลาน เหล่าทหารที่จะต้องไปหนองคาย | ||
+ | เคยร่วมสุขทุกข์ยากจะจากกัน จะนับวันว่างเว้นำม่เห็นหาย | ||
+ | สงสารด้วยพหลพลนิกาย จะแพร่งพรายพลัดไปไกลกันดาร | ||
+ | แล้วท่านจัดพร้อมเพรียงเสบียงกรัง ขนมปังกินยืดทั้งจืดหวาน | ||
+ | ปลาซาดินอินทผาลำทั้งน้ำตาล ท่านเจือจานแจกจ่ายทุกนายพล | ||
+ | ทั้งพริกเกลือเยื่อเคยนมเนยนอก แล้วสั่งบอกไพร่มารับอยู่สับสน | ||
+ | ซึ่งข้าวของกองคละอยู่ปะปน ผู้คนขนคนละกองของดีดี ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นเดือนห้าล่วงเข้าขึ้นเก้าค่ำ เป็นวันกำหนดทัพกลับกรุงศรี | ||
+ | ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์ เสียงอึงมี่พร้อมพรักคึกคักคน | ||
+ | พวกจะไปหนองคายผันผายมา เข้าอำลาคำนับน้อมจอมพหล | ||
+ | ต่างตรมตรองหมองมัวทุกตัวคน เนตรนองชลธาราให้อาวรณ์ | ||
+ | ท่านเจ้าคุณออกรับสดับคำ ท่านก็ร่ำวาจังกล่าวสั่งสอน | ||
+ | แล้วเลยร่ำคำประภาษประสาทพร กล่าวสุนทรโดยตามความอาลัย | ||
+ | เดิมท่านอยู่พร้อมหน้าข้าพเจ้า บัดนี้เล่ามีกรรมทำไฉน | ||
+ | ต่างคนเราต่างจะห่างไป โดยแต่ในวันนี้ลับลี้กัน | ||
+ | พวกท่านไปได้ลำบากความยากเย็น จงให้เป็นสามัคคีดีขยัน | ||
+ | อย่าถือเปรียบตั้งปึ่งทำขึ้งกัน จงหมายมั่นราชการอย่าคร้านใจ | ||
+ | ต่างคนทำอำลาหน้าสลด ต่างกำสรดหม่นหมองไม่ผ่องใส | ||
+ | แสนโศกเศร้าโศกาด้วยอาลัย ต่างก็ไปเตรียมตัวทั่วทุกนาย | ||
+ | ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับย่าง มาขึ้นช้างพร้อมพหลพลทั้งหลาย | ||
+ | เหลียวหลังดูผู้ที่ต้องไปหนองคาย ท่านไม่วายอาวรณ์ถอนฤทัย | ||
+ | ครั้นได้ฤกษ์แล้วให้เบิกกระบวนทัพ ยกพลกลับพร้อมกันเสียงหวั่นไหว | ||
+ | พวกกองทัพโยธีต่างดีใจ ด้วยจะได้กลับบ้านสำราญมา | ||
+ | พวกชาวเมืองเนืองหน้าออกมาดู ยืนเป็นหมู่เรียงรายทั้งซ้ายขวา | ||
+ | บ้างตามส่งกองทัพจนลับตา ด้วยคบหารักใคร่พอใจกัน | ||
+ | เดินกองทัพมาทางโพกลางตรง พระสุริยงแสงสายรีบผายผัน | ||
+ | พ้นบ้านย่านยาวราวอรัญ มุ่งหมายมั่นที่พักสำนักพล | ||
+ | ครั้นถึงที่เขาลาดอาวาสใหญ่ หนุดอาศัยสำนักพักพหล | ||
+ | บ้างปลดม้าปลงช้างแล้วต่างคน อาศัยต้นร่มไม้ใบกำบัง | ||
+ | ท่านเจ้าคุณอาศัยในศาลา อยู่ยังอารามใหญ่ด้วยใจหวัง | ||
+ | พร้อมพหลโยธาประดาดัง เข้ายับยั้งอยู่หน้าพระอาราม | ||
+ | ท่านเจ้าคุณมีศรัทธาปัญญายง นิมนต์สงฆ์หวังผลกุศลสาม | ||
+ | ทั้งสี่วัดให้มาทั้งอาราม ด้วยมีความเจตนาศรัทธาทำ | ||
+ | เชิญพระบรมทนต์สู่บนพาน เครื่องสการแลสลอนวางซ้อนสำ | ||
+ | พระสงฆ์มาติกาครบพอจบคำ สมภารนำพระขยับสดับปกรณ์ | ||
+ | เจ้าคุณถวายปัจจัยให้พระสงฆ์ ถ้วนทุกองค์นั่งรับสลับสลอน | ||
+ | แล้วแจกเงินศิษย์วัดจัดเป็นตอน ที่ฝึกสอนคิดเขียนร่ำเรียนมา | ||
+ | ครั้นเสร็จสรรพสดับปกรณ์แล้ว ก็คลาดแคล้วเข้าในไพรพฤกษา | ||
+ | ออกทุ่งเข้าทางกลางวนา พระสุริยาเย็นย่ำลงรำไร | ||
+ | ถึงหนองตะแบกหยุดพักสำนักแรม พระจันทร์แจ่มกระจ่างสว่างไสว | ||
+ | เอาเสื่อปูพรมลาดคาดผ้าใบ ที่อาศัยแห่งเจ้าคุณและมุลนาย | ||
+ | พวกกองทัพยับยั้งอยู่ทั้งสิ้น หุงต้มกินกันเป็นทิวหิวใจหาย | ||
+ | ครั้นเสร็จสรรพหลับนอนผ่อนสบาย พอจวนงายแสงสว่างกลางอัมพร | ||
+ | ก็เดินกองทัพมาคับคั่ง ไม่รอรั้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน | ||
+ | ถึงสองเนินเดินทุ่งหมายมุ่งจร หยุดพักร้อนริมฝั่งน้ำลำตะคลอง | ||
+ | พวกชาวบ้านมาพร้อมพรั่งมาคั่งคับ หาสำรับจัดเอาซึ่งข้าวของ | ||
+ | ข้าวเหนียวปั้นปลาร้าผักต้มฟักทอง คนละสองสามชามตามกำลัง | ||
+ | เป็นมากมายเหลือเล่ห์คะเนนับ เคยได้รับเงินเฟื้องแต่เบื้องหลัง | ||
+ | จึงชักชวนกันมาประดาดัง มากกว่าครั้งคราก่อนเมื่อจรมา | ||
+ | ท่านเจ้าคุณแม่ทัพนับเงินให้ พวกลาวได้สมมาดปรารถนา | ||
+ | คนกองทัพยกสำรับทั้งข้าวปลา ด้วยเวลาแสบท้องหาของกิน | ||
+ | เมื่อหยุดทัพโยธาพลากร ตะวันรอนอ่อนแสงพระสุรีย์สิ้น | ||
+ | ฝนชะอุ่มกลุ้มฟ้าเมฆาฆิน ผูกพร้อมหมดคชสินทร์กุญชรชาญ | ||
+ | เคลื่อนโยธีจากที่สำนักพัก ดูพร้อมพรักด้วยพหบพลทหาร | ||
+ | ต่างคนเริงรื่นชื่นสำราญ เดินไม่นานข้ามน้ำลำตะคลอง | ||
+ | ถึงทางแยกมรคาพระยาไฟ แยกหนึ่งไปพระยากลางเป็นทางสอง | ||
+ | ท่านเจ้าคุณการุณไพร่ด้วยใจปอง ได้ตรึกตรองไว้แต่เดิมเมื่อเริ่มมา | ||
+ | เพราะเห็นว่าวลาหกตกไม่ห่าง จะไปทางพระยาไฟเกรงไข้ป่า | ||
+ | ด้วยทางดงพระยาเย็นเป็นระอา กลัวโยธาเดินทางจะวางวาย | ||
+ | เมื่อขึ้นมาพหลมาป่นปี้ ถูกไข้ผีป่ากิ้นเสียสิ้นหลาย | ||
+ | เมื่อขากลับจะต้องกันอันตราย เดินอยกย้ายมรคาหามงคล | ||
+ | จึงได้ยกพลไพร่ไปโดยทาง พระยากลางถึงว่าจะต้องห่าฝน | ||
+ | ก็ไม่เกิดความไข้แก่ไพร่พล ทางไม่ย่นติดจะยาวถึงเก้าวัน | ||
+ | เดินทางมาในกลางพนาวาส ถึงยังเมืองโคราชดูคับขัน | ||
+ | เป็นเมืองแก่แต่บุราณมานานครัน เดี๋ยวนี้นั้นกลายเป็นชาวนาคร | ||
+ | เชิงเทินดินสูงเด่นเช่นผู้เฒ่า เป็นเมืองเก่าแรกสร้างแต่ปางก่อน | ||
+ | แข็งแรงกำแพงรอบขอบนคร ดูถาวรแต่งตั้งแต่ครั้งใด | ||
+ | เดินทัพเข้าทางผ่านกลางเมือง แลชำเลืองพฤกษาป่าไสว | ||
+ | ถามกรมการว่ากว้างทางเท่าไร พวกวัดได้ห้าสิบเส้นนับเป็นวา | ||
+ | เดินทางมาไม่นานประมาณครู่ ออกประตูตะวันตกรกพฤกษา | ||
+ | เจ้าคุณหยุดช้างอยู่ทำบูชา ซึ่งเทวาอารักษ์โดยภักดี | ||
+ | สิงสถิตที่เรืองในเมืองเก่า จงช่วยเป่าปัดร้ายในไพรศรี | ||
+ | อย่าให้โทษพารามายายี ให้โยธีกองทัพได้อับจน | ||
+ | ครั้นเสร็จทำบูชาศีลาเลื่อน รีบคลาเคลื่อนกองทัพมาสับสน | ||
+ | แสวงที่หยุดพักสำนักพล พระสุริยนเย็นย่ำลงรำไร | ||
+ | ครั้นถึงหนองบัวบานบ้านแก่นท้าว มีหนองยาวเวิ้งว้างทั้งกว้างใหญ่ | ||
+ | ก็พักหยุดกองทัพโดยฉับไว เป็นสมัยมืดค่ำฝนพรำพรม | ||
+ | พวกชาวบ้านชักพากันมาวุ่น หาเจ้าคุณพูดสำเนียงยิ่งเสียงขรม | ||
+ | ว่าอยากเห็นเจ้าคุณบุญอุดม ขอเชยชมบุญญาบารมี | ||
+ | ท่านเจ้าคุณแม่ทัพออกรับหน้า เอาเงินตราแจกลาวชาววิถี | ||
+ | แล้วพูดจาถามทักโดยภักดี พวกลาวลีลากลับไปฉับพลัน | ||
+ | ครั้นรุ่งแสงสุริยาฟ้าพะยับ ยกกองทัพเดินทางกลางไพรสัณฑ์ | ||
+ | ไม่หยุดยั้งแรมราราวอารัญ พระสุริยันสายแสงแจ้งอัมพร ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ถึงบ้านหนองบัวมีที่ทำเนียบ หยุดประเทียบช้างสำนักเข้าพักผ่อน | ||
+ | หุงข้าวปลาหากินทินกร จะเร่งร้อนรีบเดินดำเนินพล | ||
+ | เพราะด้วยน้ำเบื้องหน้านั้นหายาก จะลำบากแก่สัตว์เพราะขัดสน | ||
+ | ซึ่งโคต่างช้างมาบรรดาคน จะอับจนด้วยน้ำจำครรไล | ||
+ | ครั้นเสร็จเสพโภชนาเวลาสาย ทั้งไพร่นายพร้อมกันเสียงหวั่นไหว | ||
+ | ก็เร่งผูกช้างม้ารีบคลาไคล ยกเข้าในป่ารังไม่รั้งรอ | ||
+ | ก็รีบเดินกองทัพมาฉับเฉียว ไม่ลดเลี้ยวมุ่งมาดมาปราดปร๋อ | ||
+ | น้ำไม่มีติดกระบอกจะกรอกคอ คนเดินท้อถอยหลังประทังตน | ||
+ | ทินกรร้อนนักบ่ายสักโมง ถึงวังโล่งหยุดสำนักพักพหล | ||
+ | มีแอ่งน้ำพอได้อาศัยคน แต่เต็มทนกล้ำกลืนเหม็นขื่นคาว | ||
+ | มีอีกแห่งหนึ่งลึกถึงวา กว้างสักห้าหกศอกน้ำออกขาว | ||
+ | มีน้ำพออาศัยไม่ใหญ่ยาว ปะเมื่อคราวมีการกันดารเดิน | ||
+ | เจ้าคุณบัญชาสั่งทั้งกองทัพ ท่านกำชับด้วยทางยังห่างเหิน | ||
+ | น้ำข้างหน้าหายากลำบากเกิน ใครอย่าเลินเล่อจิตชีวิตวาย | ||
+ | ตักน้ำใส่กระบอกไปจงให้ทั่ว สำหรับตัวจะได้กินสิ้นทั้งหลาย | ||
+ | ด้วยยามแล้งแห้งหมดจะอดตาย เร่งขวนขวายน้ำกรอกกระบอกไป | ||
+ | พวกกองทัพรับบัญชาหากระบอก บ้างตัดไม่ไผ่ปอกอยู่ขวักไขว่ | ||
+ | เสียงเปาะเปกโปกปากถากไวไว คนละใบสองกระบอกเสียงออกอึง | ||
+ | ต่างหาน้ำเตรียมตัวทั่วทุกหมู่ หยุดพักอยู่วังโล่งสักโมงครึ่ง | ||
+ | สำเร็จกิจทั้งหลายวายคะนึง เสร็จแล้วจึงออกเดินดำเนินพล | ||
+ | เจ้าคุณมาบนช้างทางคะนึง ร่ำบ่นถึงเทวดาขอฟ้าฝน | ||
+ | ด้วยมาที่แคบคับจวนอับจน ด้วยขัดสนด้วยน้ำคิดรำพึง | ||
+ | แล้วคิดถึงคุณทูลกระหม่อมพระจอมเกล้า ระลึกเอาเป็นต้นเฝ้าบ่นถึง | ||
+ | ด้วยเป็นที่นับถือไม่ดื้อดึง โปรดนำซึ่งวลาหกมาตกลง | ||
+ | ได้อาศัยน้ำฝนคนและสัตว์ ไม่ข้องขัดสมตามความประสงค์ | ||
+ | จะได้ดับคับแค้นในแดนดง ขอฝนจงตกให้ทันในวันเดียว | ||
+ | ก็เร่งเดินรีบรุดไม่หยุดหย่อน ถึงบ้านใหม่แกงร้อนโดยฉับเฉียว | ||
+ | พอเกิดลมบ้าหมูมากรูเกรียว พอฝนเขียวลมปลิวละลิ่วลอย ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ถึงทำเนียบช้างประเทียบประทับพัก หยุดสำนักที่ทำเนียบรอพอสักหน่อย | ||
+ | พิรุณร่วงรุดโรยลงโปรยปรอย ฝูงคนคอยมุ่งมองที่รองราย | ||
+ | พอสักครู่ซู่ซ่าลงมาใหญ่ ต่างรองได้น้ำฝนคนละหลาย | ||
+ | คนและสัตว์น้อยใหญ่ได้สบาย ครั้นฝนหายเหือดพลันในทันใด | ||
+ | ที่ท้องห้วยลำธารในย่านหนทาง ท่วมท้องช้างลงพังพาบอาบอาศัย | ||
+ | ทั้งช้างโคกล้ำกลืนได้ชื่นใจ มีแรงไปภายหน้าได้วาริน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ พอเช้ามืดตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพ ยกกองทัพเดินไปในไพรสิน | ||
+ | รีบเร่งเดินลัดหลีกดังปีกบิน ตั้งพักกินข้าวปลาข้างหน้าทาง | ||
+ | ครั้นอรุณรุ่งฟ้าเวลาเช้า เกือบจะเข้าปากดงตรงสว่าง | ||
+ | ก็เดินดงตรงผ่าพระยากลาง ในหนทางรกหนาลดาวัลย์ | ||
+ | ในดงทึบดูทั่วคลุ้มมัวมืด เป็นพงพืดซ้อนซับทางคับขัน | ||
+ | เร่งรีบเดินเพลินมาในอารัญ รีบผายผันโดยยากออกปากดง | ||
+ | สักสามโมงเศษสังเกตไว้ ก็พ้นพงดงใหญ่ไพรระหง | ||
+ | เดินเลียบเนินเขาใหญ่ไถลลง หนทางตรงรีบเดินดำเนินพล | ||
+ | ข้ามเขาเหวตาบัวน่ากลัวโข ดูใหญ่โตสูงเยี่ยมเทียมเวหน | ||
+ | มีเขาใหญ่สูงชันอยู่ชั้นบน แลเหลือบยลแหงนฟ้าดูตาลาย | ||
+ | จำเพาะมีมรคาสองวาศอก แลเป็นหมอกมืดมิดใจจิตหาย | ||
+ | ข้างขวามือเขาชันกีดกั้นราย ข้างเบื้องซ้ายเหวลึกคิดนึกกลัว | ||
+ | จะลึกสักเท่าไรเร่าไม่รู้ ไม่อาจดูขนพองสยองหัว | ||
+ | แม้นตกลงคงเหลวเหวตาบัว ระวังตัวพลัดตกหกคะมำ | ||
+ | หนทางเดินลึกไกลไถลตรง กลัวช้างลงเดินเลียบเหยียบถลำ | ||
+ | ช้างเดินลากขาหลังมันช่างทำ กูบเอียงคว่ำข้างหน้าเมื่อขาลง | ||
+ | ถึงที่ต่ำข้ามลำพระยากลาง เข้าเดินทางทิวไม้ไพรระหง | ||
+ | เข้าแขวงเมืองบัวชุมเห็นพุ่มพง ตัดทางตรงมาทำเนียบประเทียบพัก | ||
+ | อยู่เชิงเขาบังเหยลมเชยฉ่ำ ริมฝั่งน้ำพระยากลางต่างประจักษ์ | ||
+ | คนหิวจริงวิงเวียนเจียนจะชัก ถึงบ่ายสักสามโมงท้องโล่งมา | ||
+ | ด้วยอดข้าวเช้าหิวใจหวิววุ่น จิตฉิวฉุนโมโหเกิดโทสา | ||
+ | บ้างทิ้งหาบผลุงหุงข้าวแล้วเผาปลา พวกโยธาพักผ่อนอ่อนกำลัง | ||
+ | เลยพักแรมอยู่นั้นไม่ผันผาย ด้วยวัวควายช้างม้าเดินล้าหลัง | ||
+ | ไม่รีบรุดหยุดหย่อนผ่อนประทัง ก็ยับยั้งที่นั่นไม่ผันแปร | ||
+ | ครั้นพลบค่ำสนธยาย่ำราตรี นั่งชมสีแสงสว่างกระจ่างแข | ||
+ | ค่อยส่างโศกโรครำคาญฤดานแด อากาศที่นี่ดีแท้หอมรื่นรวน | ||
+ | ลมพระพายชายเชยรำเพยผิว เย็นฉิวฉิวน้ำค้างพรมเมื่อลมหวน | ||
+ | หอมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำกลิ่นลำดวน เมื่อจะจวนรุ่งแจ้งแสงหิรัญ | ||
+ | พอสว่างสุริยาส่องอากาศ เสร็จคลาคลาดกองทัพโดยคับขัน | ||
+ | เดินทางมรคาพนาวัน พระสุริยันแรงร้อนอ่อนกำลัง | ||
+ | ข้ามลำพระยากลางเรียกว่าท่ามะกอก แล้วเดินออกทุ่งใหญ่ด้วยใจหวัง | ||
+ | พินิจชมพฤกษาล้วนป่ารัง แลสะพรั่งดูเพลินจำเริญใจ | ||
+ | ข้ามลำพระยากลางชื่อว่าท่ามะกอ ก็หยุดรอพักร้อนผ่อนอาศัย | ||
+ | ครั้นอ่อนแสงสุริยาก็คลาไคล ยกครรไลออกทางชมยางยูง | ||
+ | ข้ามลำน้ำสันนทีต้องปริปาก ช้างเดินยากจริงจริงตลิ่งสูง | ||
+ | ลางคนเดินจดจ้องบ้างต้องจูง ที่เหล่าฝูงคนเดินเกินระอา ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ถึงท่าปูนแรมสำนักพักอยู่ที่นั่น ครั้นสุริยันสว่างกลางเวหา | ||
+ | ก็ออกเดินกองทัพคับคั่งมา กำนันพานำทางไม่คลางแคลง | ||
+ | เข้าป่ารังบังร่มพระสุริยน เสร็จเดินพลข้ามลำแม่น้ำแห้ง | ||
+ | เรียกลำสันนทีใหญ่ไม่ระแวง บ้านประแดงจองกอพอกลางวัน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ถึงท่าฉางลำสักหยุดพักร้อน สโมสรปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
+ | เหล่ากรมการเมืองบัวชุมมากลุ้มกัน ของกำนัลมาคำนับรับเจ้าคุณ | ||
+ | เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง ซึ่งข้าวของกำนัลไม่หันหุน | ||
+ | ท่านนับเงินตราให้ช่วยใช้ทุน มิให้บึญคุณติดด้วยคิดอาย | ||
+ | ซึ่งข้าวสารราคาตั้งให้ถังหนึ่ง สองสลึงราคาชาวนาขาย | ||
+ | ซ้ำแจกเงินให้เขาท้ังบ่าวนาย ทั้งหญิงชายตามประดามาด้วยกัน | ||
+ | อีกเสื้อผ้าแจกให้ขอบใจเขา คิดจะเอาบุญคุณไม่หุนหัน | ||
+ | กรมการดีใจได้รางวัล แล้วผายผันเสร็จกลับคำนับลา | ||
+ | ครั้นว่าบ่ายลมตกยกขยับ เดินกองทัพเข้าในไพรพฤกษา | ||
+ | เห็นเขาใหญ่ขวางกั้นอรัญญา ชื่อเขาตากลิ้งขวางหนทางจร | ||
+ | เห็นคิรีดีแท้แลคล้ายคล้าย นึกไม่วายหายกริ่งรูปสิงขร | ||
+ | แลแต่ไกลชอบกลเหมือนคนนอน มีกายกรไหล่หัวตัวและมือ | ||
+ | เขาว่าสังกรณีตรีชวา บนยอดผาตากริ่งมีจริงหรือ | ||
+ | เป็นแต่คำคนเขามาเล่าลือ หาตัวคือใครได้ก็ไม่มี ฯ | ||
+ | </tpoem> | ||
+ | ==== ==== | ||
+ | <tpoem> | ||
+ | ๏ ถึงท่าสำโรงสำลักจวนจักค่ำ ต่างข้ามน้ำปลื้มเปรมเกษมศรี | ||
+ | ข้ามตรงตื้นพื้นทรายสบายดี ดูวารีใสสะอาดมีหาดทราย | ||
+ | เขาว่ามีจระเข้เดรัจฉาน ตัวประมาณโตใหญ่ดุใจหาย | ||
+ | ถ้ำมันเนาอยู่ในเขาตากับยาย ด้วยเชิงชายเขายั้งกระทั่งธาร | ||
+ | เสร็จข้ามน้ำลำสักหยุดพักเนา ริมเชิงเขาตากับยายชายละหาน | ||
+ | เข้าเขตแขวงเมืองไทยไชยบาดาล กรมการมาคำนับคอยรับรอง | ||
+ | พักแรมทัพอยู่ที่นั่นไม่ผันผาย ครั้นจวนงายพร้อมพรั่งพลทั้งผอง | ||
+ | จวนอรุณรุ่งแจ้งเรื่อแสงทอง ออกเดินกองทัพใหญ่ครรไลจร | ||
+ | ถึงที่ห้วยเดินข้ามถึงสามแห่ง สุริย์แสงส่องฟ้าระอาอ่อน | ||
+ | กึ่งท่าลาวลำสักพักนิกร สำนักผ่อนพอประทังกำลังตน | ||
+ | เหล่าพวกชาวนิคมกรมการ ในเมืองไชยบาดาลมาสับสน | ||
+ | พร้อมทั้งบ่าวทั้งนายมาหลายคน ด้วยกังวนคอยรับกองทัพมา | ||
+ | เจ้าคุณแจกเงินให้ไม่เสียดาย ทั้งบ่าวนายสมมาดปรารถนา | ||
+ | บ่ายลมตกเดินได้ก็ไคลคลา ยกโยธากองทัพเลยลับไป | ||
+ | ถึงบ้านโคกถลุงเป็นทุ่งกว้าง คนมาสร้างเคหาอยู่อาศัย | ||
+ | มีเรือนหลายสิบหลังชั่งกระไร มาอยู่ในกลางป่าทำนากิน | ||
+ | เจ้าคุณเลือกเงินขาวขาวแจกชาวบ้าน กระทำทานสุดจะนับเสียทรัพย์สิน | ||
+ | ชาวบ้านได้เงินตราไม่ราคิน ต่างคนยินดีได้ดังใจจง ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ ครั้นกองทัพล่วงพ้นตำบลบ้าน เข้าเชิงชานเขาใหญ่ไพรระหง | ||
+ | เป็นเหลี่ยมคูลดหลั่นสูงชันตรง ชื่อเขาพระยาเดินธงอยู่ริมทาง | ||
+ | เข้าประเทศเขตเบื้องเมืองพระบาท รีบคลาคลาดพ้นเขาลำเนาขวาง | ||
+ | ล้วนป่าไม้ใหญ่สูงต้นยูงยาง ต้นแคคางเคี่ยมมะค่าพญารัง | ||
+ | ครั้นถึงหนองกระดี่ที่สำนัก ก็แรมพักหยุดทัพคนคับคั่ง | ||
+ | ล้วนอ่อนพับหลับนอนอ่อนประทัง ครั้นรุ่งรังสีสว่างกระจ่างพราว | ||
+ | เสร็จคลาเคลื่อนเขยื้อนยกขยับ เดินกองทัพโยธีเสียงมี่ฉาว | ||
+ | เหล่าคนเดินพรั่งพรูมากรูกราว เสียงฝีเท้าคนสะเทื้อนเมื่อเคลื่อนคลา | ||
+ | เข้าปากดงวังส้มร่มชอุ่ม ด้วยยางพุ่มไสวใบพฤกษา | ||
+ | บังแฝงแสงสีสุริยา ที่ในป่าดงคลุ้มชอุ่มมัว | ||
+ | ศิลาหลายอย่างต่างต่างสี อยู่ในพื้นปฐพีตลอดทั่ว | ||
+ | มาตั้งทำหินได้แล้วไม่กลัว คงเอาตัวรอดได้เห็นไม่จน | ||
+ | ไม่ต้องใช้หินฝรั่งแล้วครั้งนี้ เมืองไทยมีมากถนัดไม่ขัดสน | ||
+ | ถ้าทำวังทำวัดแล้วจัดคน ขึ้นมาขนส่งไปเห็นได้การ | ||
+ | ด้วยหินอ่อนลายสะอาดประหลาดเหลือ งามทั้งเนื้อละเอียดดีสีสัณฐาน | ||
+ | มีมากมายหลายล้นพ้นประมาณ จะทำบ้านปูวัดไม่ขัดเลย | ||
+ | เจ้าคุณให้คนสำรวจตรวจดูทั่ว เก็บเอาตัวอย่างมาไม่ชาเฉย | ||
+ | ให้พวกช่างหินดูที่ผู้เคย ก็ชมเชยเนื้อศิลาไม่ราคิน ฯ | ||
+ | |||
+ | |||
+ | ๏ มาถึงดงบ่อทองมองเขม้น ไม่แลเห็นทองจิตคิดถวิล | ||
+ | เขาว่ามีอยู่ในใต้แผ่นดิน แต่ล้วนหินคนจะขุดก็สุดแรง | ||
+ | แต่ก่อนมาคนปองขุดทองคำ ครั้นทำทำขุดพบกระทบแข็ง | ||
+ | ทั้งโตทั้งหนาศิลาแดง เอาชะแลงเข้าขุดสุดกำลัง | ||
+ | สิ้นมานะจึงได้ละไม่ลงขุด เพราะสิ้นสุดความคิดที่จิตหวัง | ||
+ | คนเราทุกวันนี้ไม่อินัง ทองอยู่ทั้งดงใหญ่ไม่นำพา ฯ | ||
. | . | ||
. | . |
การปรับปรุง เมื่อ 15:07, 27 ตุลาคม 2552
เนื้อหา |
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์)
บทประพันธ์
๏ จะเริ่มเรื่องเมืองหนองคายจดหมายเหตุ | ในแดนเขตเขื่อนคุ้งกรุงสยาม | ||
บังเกิดพวกอ้ายฮ่อมาก่อความ | ทำสงครามกับลาวพวกชาวเวียง | ||
ซึ่งเจ้าเมืองเขตขัณฑ์ตะวันออก | ก็แต่งบอกเขียนหนังสือลงชื่อเสียง | ||
ในเขตแดนหนองคายเมืองรายเรียง | เมืองใกล้เคียงบอกบั่นกระชั้นมา | ||
ว่าล้วนพวกอ้ายฮ่อทรลักษณ์ | ประมาณสักสามพันล้วนกลั่นกล้า | ||
เที่ยวรบปล้นขนทรัพย์จับประชา | ลาวระอามิได้อาจขยาดกลัว ฯ | ||
๏ สมเด็จพระปรมินทร์บดินทร์เดช | ซึ่งปกเกศร่มเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||
สดับเรื่องเมืองบนกระมลมัว | ศึกพันพัวราษฎร์ประเทศในเขตคัน | ||
ด้วยไพร่บ้านพลเมืองจะเคืองขุ่น | ทรงการุญราษฎรคิดผ่อนผัน | ||
เชิญสมเด็จเจ้าพระยาปรึกษาพลัน | พร้อมด้วยพันธุพงศ์พระวงศ์วาน | ||
เห็นแต่เจ้าพระยามหินทร์เคาซิลลอ | เป็นเนื้อหน่อพงศ์เผ่าเหล่าทหาร | ||
พอจะเป็นแม่ทัพรับราชการ | ที่รำคาญขุ่นข้องเมืองหนองคาย | ||
แล้วจัดพระยา, พระ, หลวงทั้งปวงอีก | ให้เป็นปีกซ้ายขวาทัพหน้าหลาย | ||
ทั้งเกณฑ์เลขสมฉกรรจ์พันทนาย | ทั้งเลขจ่ายตามกรมระดมกัน | ||
เกณฑ์เลขทาสทั้งที่มีค่าตัว | ดูนุงนัวนายหมวดเร่งกวดขัน | ||
ผู้ที่เป็นมุลนายวุ่นวายครัน | บ้างใช้ปัญญาหลอกบอกอุบาย | ||
ว่าตัวทาสหลบลี้หนีไม่อยู่ | ข้างเจ้าหมู่เกาะตัวจำนำใจหาย | ||
ที่ตัวทาสหนีจริงวิ่งตะกาย | ทำวุ่นวายยับเยินเสียเงินทอง | ||
เกณฑ์ขุนหมื่นขึ้นใหม่ในเบี้ยหวัด | ขุนหมื่นตัดเกณฑ์ตามเอาสามสอง | ||
ท่านนายเวรเกณฑ์กวดเต็มหมวดกอง | เอาข้าวของเงินตราปัญญาดี | ||
เหล่าพวกขุนหมื่นไพร่ต้องไปทัพ | ที่มีทรัพย์พอจะจ่ายไม่หน่ายหนี | ||
สุ้จ้างคนแทนตัวกลัวไพรี | ที่เงินมีเขาไม่อยากจะจากจร ฯ | ||
๏ ฉันจำร้างห่างมิตรขนิษฐ์นาฏ | หวานสวาทด้วยจะร้างห่างสมร | ||
แสนถวิลจินดาด้วยอาวรณ์ | สะท้อนถอนฤทัยอาลัยครวญ | ||
กางกรประคองกอดแม่ยอดรัก | พิศพักตร์สาวน้อยละห้อยหวน | ||
นึกก็น่าใจหายเสียดายนวล | ด้วยจำด่วนจากนางไปห่างเรือน | ||
แสนสงสารแต่พธูจะอยู่เดียว | นึกเฉลียวอาลัยใครจะเหมือน | ||
พึ่งอยู่กินด้วยพี่สักสี่เดือน | จะจากเพื่อนพิศวาสแทบขาดใจ | ||
ครั้นเห็นน้องนองเนตรสังเวชจิต | นึกหวนคิดว่าจะเบือนเชือนไถล | ||
จะบอกป่วยเสียให้มากไม่อยากไป | กลัวจะไม่เป็นธรรม์กตัญญู | ||
นายมีกิจควรคิดเอาตัวรอด | คนจะย้อนค่อนขอดได้อดสู | ||
ต้องจำใจจำร้างห่างพธู | จงเชิญอยู่ให้เป็นสุขสนุกดี | ||
อย่าร้องไห้จะเป็นลางจงสร่างโศก | อย่าวิโยคนักน้องจะหมองศรี | ||
แม้นตั้งใจไว้ท่าไม่ราคี | นั่นแลมีความชอบฉันขอบใจ ฯ | ||
๏ ถึงวันพุธเดือนสิบแรมแปดค่ำ | เป็นวันอำมฤตโชคโฉลกใหญ่ | ||
ณ ปีกุนสัปตกศกจะยกไป | จำครรไลโลมลาสุดาดวง | ||
น้ำตาไหลพรากพรากออกจากห้อง | เหลียวดูน้องใจหายไม่วายห่วง | ||
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมทรวง | แล้วเลยล่วงอำลาแม่อาพลัน | ||
ท่านก็ร่ำอวยชัยให้เป็นสุข | อย่ามีทุกข์อันตรายทางผายผัน | ||
สวัสดีมีชียพ้นภัยยัน | เมื่อกลับนั้นจงเป็นสุขสิ้นทุกข์ร้อน | ||
ลงจากเรือนเบือนดูแม่คู่ชื่น | ถอนสะอื้นโหยไห้ฤทัยถอน | ||
สละรักหักใจอาลัยวรณ์ | ฝืนใจจรรีบเดินเมินไม่มอง | ||
มาครู่หนึ่งถึงสถานบ้านเจ้าคุณ | กำลังวุ่นผู้คนเขาขนของ | ||
ฉันฝืนพักตร์เข้าฝาน้ำตานอง | ใจสยองยิ่งสลดระทดระทม | ||
แสนคะนึงภึงมิตรพิศวาส | ใจจะขาดลงด้วยร้างห่างคู่สม | ||
ค่อยแข็งขืนกลืนน้ำตาหักอารมณ์ | ครั้นวายตรมแล้วมานั่งคอยฟังการ | ||
คนพร้อมพรั่งนั่งรอหน้าหอใหญ่ | ทั้งพวกไพร่เหล่าพหลพลทหาร | ||
บ้างขนเสบียงลงเรือเกลือน้ำตาล | ทั้งข้าวสารข้าวตากและหมากพลู | ||
ของเจ้าคุณขนเนื่องทั้งเครื่องใช้ | คนขนไม่หยุดหย่อนร้องอ่อนหู | ||
เกินจะพรรณนาเหลือตาดู | เครื่องควาหวานมีอยู่ก็มากครัน | ||
เครื่องอาวุธสารพัดท่านจัดซื้อ | ล้วนเครื่องมอรบทัพดูขับขัน | ||
ซื้อเสื้อหมวกแจกจ่ายเป็นหลายพัน | ล้วนแพรพรรณสักหลาดสะอาดตา | ||
ลงทุนซื้อของมีบัญชีเสร็จ | สักร้อยเจ็ดสิบชั่งก็ยังกว่า | ||
เครื่องหน้าไม้เครื่องมือซื้อเอามา | ทั้งมีดพร้าจอบเสียบก็เตรียมการ | ||
และท่านทำแวนเพชรสิบเอ็ดวง | หวังใจจงแจกจ่ายนายทหาร | ||
ที่ไม่คิดย่อหย่อนเข้ารอนราญ | ใครทำการศึกสำเร็จบำเหน็จมือ | ||
ทั้งเสื้อผ้าสารพัดท่านจัดครบ | ถ้าใครรบจริงจริงไม่วิ่งตื๋อ | ||
เข้าตีข้าศึกแยกให้แตกฮือ | จดเอาชื่อแล้วจะได้ให้รางวัล ฯ | ||
๏ ครั้นบ่ายสามโมงถ้วนจวนจะฤกษ์ | เอิกเกริกไพร่นายเตรียมผายผัน | ||
พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาพลัน | เจ้าคุณนั้นออกมารับคำนับกาย | ||
พร้อมสมณพราหมณาโหราศาสตร์ | นั่งเกลื่อนกลาดเคียงขนานประมาณหลาย | ||
พนักงานตั้งเตียงไว้เรียงราย | ที่อาบสายชลธาร์เบญจางาม | ||
เจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อมสมเด็จ | แล้วก็เสร็จสู่เบญจาหน้าสนาม | ||
สรงพุทธมนต์ชลอาบปราบสงคราม | ขึ้นเหยียบไม้ข่มนามศัตรูพาล | ||
พระสงฆ์องค์สมมุตวงศ์พุทโธ | ชยันโตสำเนียงเสียงประสาน | ||
เสียงฆ้องชัยลั่นต้องก้องกังวาน | โหราจารย์พรามหมณ์เคาะบัณเฑาะว์ดัง | ||
พระครูโหรอวยชัยให้เดชะ | พระหมณะผู้เฒ่าก็เป่าสังข์ | ||
พร้อมด้วยเหล่าเจ้าพระยาดาประดัง | ขุนนางนั่งสลอนอวยพรชัย ฯ | ||
๏ ฝ่ายเจ้าคุณแม่ทัพครั้นสรรพเสร็จ | น้อมสมเด็จเจ้าพระยาอัชฌาสัย | ||
ออกมานั่งคอยฤก์เบิกบานใจ | ผินพักตร์ไปฝ่ายบุรพาทางนาคิน | ||
ท่านสมเด็จเจ้าพระยาคอยหาฤกษ์ | พอเมฆเลิกดูอุดมสมถวิล | ||
สุริยงทรงรถหมดมลทิน | ทางกสิณบริบูรณ์เพิ่มพูนดี | ||
สมเด็จท่านขานไขบอกได้ฤกษ์ | แล้วให้เบิกฆ้องชัยได้ดิถี | ||
ก็โห่ร้องเอาชัยปราบไพรี | ท่านแม่ทัพจรลีลงเรือพลัน | ||
ฝีพายพลโห่ร้องก้องสะเทือน | เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพดูคับขัน | ||
เรือกระบวนสวนแซงพายแย่งกัน | เสียงสนั่นเป็นระลอกกระฉอกชล | ||
ทั้งสองฟากเรือตลอดจอดเป็นหมู่ | ล้วนคนดูกองทัพเรือสับสน | ||
กลามตลอดจอดแพออกแจจน | กญิงชายบนตลิ่งดูอยู่สำราญ | ||
ดูเรือแพแออัดสงัดหาย | ไม่อาจพายออกมาตัดหน้าฉาน | ||
กลัวจะกีดกันขวางทางชลธาร | หลบหนีซ่านเข้าจอดตลอดมา ฯ | ||
๏ ครั้นถึงตำหนักแพแลไสว | พวกข้างในนั่งอยู่ดูหนักหนา | ||
ปางพระจอมจักรพรรดิ์กษัตรา | เสด็จมาคอยรับกองทัพเอง | ||
เหล่าขุนนางแวดล้อมอยู่พร้อมพรั่ง | ลงที่นั่งปิกนิกกั้นบดเก๋ง | ||
ทอดพระเนตรเรือแพทรงแลเล็ง | เสียงแซ่เซ็งแตรฝรั่งก้องกังวาน | ||
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ | ถวายคำนับน้อมจอมสถาน | ||
แล้วถวายบังคมราบลงกราบกราน | ตามบูราณประเพณีที่มีมา | ||
กรุงกษัตริย์จิ้มเจิมเฉลิมพักตร์ | ทรงสังข์ทักษิณาวัฏต่อหัตถา | ||
เป็นสังข์เวียนซ้ายเรียกทักษิณา | เป็นภาษาไพร่คิดโดยจิตเดา | ||
ด้วยฉันมาหน้าแคร่ท่านแม่ทัพ | ครั้นได้รับน้ำสังข์ไม่นั่งเหงา | ||
เป็นเหตุให้ทุกข์สร่างลงบางเบา | แต่ยังเมาโศกรักหนักอาวรณ์ | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | ฝ่ายพระจอมบพิตรอดิศร | ||
เสด็จทรงสังข์สรรเสริญเจริญพร | แล้วกรายกรหยิบนาฬิกามาประทาน | ||
ทองคำทำตลับระยับย้อย | ทั้งสายสร้อยสามกษัตริย์จัดประสาน | ||
พระจอมนาถมีพระราชโองการ | ว่าของนานทำไว้จะให้เธอ | ||
ฉันลงชื่อเขียนไว้ในตลับ | เจ้าคุณรับได้ของประคองเสนอ | ||
ถวายคำนับซ้ำทำบำเรอ | เสด็จเผยอเรือออกบอกฝีพาย | ||
ครั้นเรือออกประตูฝ่านาวาคล้อย | พระสงฆ์คอยประน้ำมนต์พลทั้งหลาย | ||
คนในเรือรับพลางต่างวางพาย | น้อมถวายบังคมประนมกร ฯ | ||
๏ ครั้นล่วงพ้นโขลนทวารก็ขานโห่ | เสียงก้องโกลาหลพลสลอน | ||
เอิกเกริกเร่งมาในสาคร | เรือกระฉ่อนน้ำกระฉอกละลอกโครม | ||
เหล่าคนดูเรือจอดตลอดทั่ว | ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดโฉม | ||
ที่สาวแท้แลแต่ไกลน่าใคร่โลม | ฉันหน่งโน้มหักใจอาลัยวอน | ||
พวกคนดูถึงว่าที่มีสกุล | เห็นเจ้าคุณไหว้คำนับสลับสลอน | ||
บางคนไหว้แล้วช่วยอำนวยพร | ประนมกรหยุดจอดตลอดมา ฯ | ||
๏ ถึงตำหนักแพวังหน้านาวาตรง | มีพระสงฆ์ประน้ำมนต์บ่นคาถา | ||
ชยันโตอวยชัยในนาวา | จอดอยู่หน้าตำหนักแพแซ่สำเนียง | ||
พระวังหน้านั้นก็เสร็จเสด็จรับ | ส่งกองทัพยืนร่าหน้าเฉลียง | ||
พน้อมเสนาขวาซ้ายยืนรายเรียง | บ้างอยู่เคียงพระองค์ผู้ทรงนาม | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | รองพระจอมจุลจักรหลักสยาม | ||
พระกายไทยใจทหารชาญสงคราม | พระพักตร์งามสง่าชูสุรพงศ์ | ||
พอกระบวนด่วนล่วงมาเลยลับ | เรือกองทัพเซ็งแซ่แลระหง | ||
สังเกตลมพระพายพัดชายธง | นิมิตมงคลดีเลิศประเสริฐครัน | ||
เรือเขยื้อนเตือนฝีพายทั้งซ้ายขวา | พระสุริยาเบี่ยงบ่ายลงผายผัน | ||
พอเรือไฟพระสุนทราแล่นมาทัน | เห็นตัวท่านยืนโยกแล้วโบกมือ | ||
นึกสงสัยจะเป็นใครที่ไหนหนอ | แต่งตัวป๋อโบกมือผับบอกนับถือ | ||
สังเกตได้แต่ที่มีสี่นิ้วมือ | นี้คงคือเจ้าคุณพระสุนทรา | ||
เพราะนิ้วมือท่านมีสี่นิ้วถ้วน | นิ้วชี้ด้วนเด็ดชัดข้างหัตถ์ขวา | ||
คุมเรือไฟไล่แล่นตามเข้ามา | ฝีพายคว้าเชือกผูกเรือแล่นเหลือใจ | ||
โยงเรือแม่ทัพกับเรือบุตร | เรือไฟฉุดแล่นลิ่วใจหวิวไหว | ||
เรือนายทัพนายกองเนืองนองไป | เรือกลไฟจูงมาในสาคร ฯ | ||
๏ ครั้นถึงวัดเขมาภิรตาราม | ประทับตามฤกษ์กำหนดให้งดก่อน | ||
ด้วยกลางคืนโหรมิให้ครรไลจร | ก็พอผ่อนแรมกระบวนอยู่ถ้วนกัน | ||
พอสมเด็จเจ้าฟ้าจาตุรนต์ | ลงเรือกลไฟเล็กเล็กทั้งนั้น | ||
ขนมาส่งกองทัพด้วยฉับพลัน | มาถึงทันรอจักรหยุดพักคอย | ||
เสด็จลงสู่ยังที่นั่งเก๋ง | ฝีพายเร่งตึงข้อไม่ท้อถอย | ||
พอจวนถึงรอรานาวาคอย | เรือบ่ายคล้อยหันเรียงให้เอียงลำ | ||
เจ้าคุณน้อมบังคมก้มคำนับ | สมเด็จรับยิ้มนิยมดูคมขำ | ||
พระทัยดีมีพระกรุณประจำ | หยิบเปลป่านซองทองคำมาประทาน | ||
เจ้าคุณน้อมคำนับรับสิ่งของ | สมเด็จพร้องอวยชัยทรงไขขาน | ||
แล้วเอื้อนอรรถตรัสเสร็จสำเร็จการ | ไม่ช้านานกลับหลังคืนวังพลัน ฯ | ||
๏ ฝ่ายข้างพวกกองทัพนั้นสับสน | บ้างขึ้นบนบกกรายเที่ยวผายผัน | ||
บ้างหุงข้าวเผาปลาทูกินอยู่กัน | บางคนหันเข้าใต้ร่มไม้นอน | ||
เจ้าคุณท่านอาศัยในศาลา | ฉันรักษาอยู่ในเรืออิงเหนือหมอน | ||
คำนึงถึงขนิษฐาให้อาวรณ์ | อุระร้อนรัญจวนหวนคะนึง | ||
ป่านฉะนี้แก้วพี่จะโหยหวน | จะรัญจวนหรือว่าไม่อาลัยถึง | ||
แต่อกพี่อาวรณ์ดั่งศรตรึง | นอนรำพึงถึงแม่ดวงพวงพะยอม | ||
แสนเสียดายสายสวาทอนาถจิต | โอ้ามเอ๋ยเคยชิดอนบถนอม | ||
ครั้นยิ่งคิดจิตตรมอารมณ์ตรอม | ประหนึ่งจอมเขาทับลงกับกาย | ||
ซึ่งพี่มาจากนางแต่ร่างเปล่า | หัวใจเฝ้าเคียงประโลมแม่โฉมฉาย | ||
คิดหนังหน่วงห่วงสวาทไม่คลาดคลาย | โศกไม่วายเสื่อมเศร้าอกเราอา | ||
แสนอาวรณ์นอนเผลอละเมอม่อย | พอเดือนคล้อยดาวเคลื่อนเลื่อนเวหา | ||
จวนแจ้งแสงศรีสุริยา | ตื่นนิทราโหยไห้ฤทัยตรม | ||
เสร็จเสพโภชนากระยาหาร | ทั้งคาวหวานกล้ำกลืนรสขื่นขม | ||
กินน้ำใสก็เหมือนกินน้ำดินตม | ด้วยอารมณ์หวังรักหนักอุรัง ฯ | ||
๏ ครั้นเช้าสองโมงครึ่งกึ่งนิมิต | สำเร็จกิจเสร็จสมอารมณ์หวัง | ||
ฝีพายเตรียมนาวาประดาดัง | จอดคอยฟังลั่นฆ้องตามองเมียง | ||
ครั้นเจ้าคุณลงเรือนั่งเหนือเบาะ | ฝีพายเกาะโห่ขานประสานเสียง | ||
ตีฆ้องหุ่ยหึ่งพลันลั่นสำเนียง | เรือพร้อมเพรียงออกตามหลั่นหลามมา | ||
คระโครมครึกกึกก้องท้องสมุทร | พายรีบรุดเร็วนักดั่งปักษา | ||
คว้างคว้างมาในกลางชลธาร์ | ดูนาวาเร็วรัดเทียมทัดลม | ||
ครั้นจะร่ำระยะทางชมบางบ้าน | ก็ขี้คร้านหลีกจัดตัดประสม | ||
ด้วยนิราศอื่นมีดีอุดม | ล้วนคารมวิเวกหวานเคยอ่านฟัง | ||
ครั้นเรือมาฉิวฉิวแลลิ่วลับ | ฝีพายขับขบเขี้ยวไม่เหลียวหลัง | ||
ชลกระฉอกละลอกเสียงเพียงจะพัง | กระทบฝั่งกระจายทำลายลง ฯ | ||
๏ ถึงเมืองประทุมธานีบุรีรัตน์ | วายุพัดน้ำกระเด็นขึ้นเป็นผง | ||
พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดง | เรือตัดตรงข้ามฟากพายบากมา | ||
รีบรัดมาจอดวัดประทุมทอง | พินิจมองเห็นพระสงฆ์ทรงสิกขา | ||
ล้วนรามัญชยันโตโพธิยา | ตามภาษาพระมอญอวยพรชัย | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | มีจิตพร้อมศรัทธาอัชฌาสัย | ||
ก็ขึ้นจากเรือเดินดำเนินไป | ตรงเข้าในศาลาหาสมภาร | ||
ถวายเงินแก่พระสงฆ์องค์ละบาท | ทั้งอาวาสด้วยศรัทธาท่านกล้าหาญ | ||
น้อมจิตคิดตั้งปณิธาน | เจ้าอธิการคำรพจบสัพพี | ||
ก็แรมทัพอยู่ที่นั่นพร้อมกันหมด | พระสุริยงเยื้องรถอับฉวี | ||
ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์ | เหล่าโยธีกองทัพบ้างหลับนอน | ||
ด้วยวัดนี้ไม่มีที่อาศัย | เดินไปไหนน้ำท่าเปีกผ้าผ่อน | ||
วัดประทุมลุ่มเต็มทีไร้ที่ดอน | คนต้องซ้อนแซกเสียดยัดเยียดกัน | ||
เหมือนตะรางสัสดีที่แคบคับ | นอนไม่หลับเจียนชีวาแทบอาสัญ | ||
ตาบุนปราบแกขนาบเอาโซ่พัน | เร่งรางวัลข้าทุเลาเอาเงินมา | ||
โอ้พุ่มพวงดวงจิตชีวิตพี่ | ป่านฉะนี้สาวน้อยจะคอยหา | ||
จะโศกเศร้าว้าเหว่อยู่เอกา | อนิจจาแสนสังเวชน้ำเนตรพราว | ||
โอ้อาลัยใจหายไม่วายโศก | บังเกิดโรคร้างงามเมื่อยามหนาว | ||
โอ้ยามรักหนักจิตเหมือนติดกาว | ไม่มีคราวลืมมิตรยลติดตา | ||
ยิ่งหวนหวนห่วงไห้ฤทัยโหย | อุระโรยร่วงหรุบดั่งบุปผา | ||
เมื่อต้องแสงสุริยงส่องลงมา | เกสรสาโรชร่วงเหมือนทรวงเรา | ||
หวนคะนึงถึงมิตรพิศวาส | ใจจะขาดเสียเพราะทรวงงงง่วงเหงา | ||
กำเริบโรคโศกร้างไม่บางเบา | ยุพเยาว์จะมิได้เห็ใจเรียม | ||
ค่อยแข็งขืนฝืนอารมณ์ที่ตรมตรึก | ครั้นนึกนึกแล้วค่อยวายจิตอายเหนียม | ||
คงได้กลับยลโฉมประโลมเลียม | ไม่ทันเตรียมอย่าเพ่อตรอมจะผอมตาย | ||
พอหลับผอยม่อยฟื้นตื่นสว่าง | ลุกลูบล้างหน้าพลันไม่ทันสาย | ||
พออิ่มหนำสำเร็จเสร็จสบาย | เหล่าฝีพายเตรียมตัวพร้อมทั่วกัน | ||
พอได้ฤกษ์แล้วก็บอกออกนาวา | เสียงเฮฮาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
ไม่เห็นใครมีทุกข์สนุกครัน | จ้วงกระชั้นตึงข้อไม่รอรา | ||
เรือละลิ่วปลิวเฉื่อยมาเรื่อยรี่ | ชมวิถีชลมารคข้างฟากขวา | ||
แล้วผันชมฟากซ้ายวายน้ำตา | ครั้นนาวาแล่นล่วงครรไลเลย ฯ | ||
๏ มาถึงเกาะบางปะอินทินกร | กำลังร้อนแสงแดดนั้นแผดเผย | ||
เห็นรั้ววังข้างขวาสง่าเงย | น่าชมเชยตึกตั้งเป็นวังเวียง | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง | จอดหน้าวังขึ้นบูชาหน้าเฉลียง | ||
ท่าจุดธูปเทียนถวายอยู่รายเรียง | นั่งประเนียงน้อมประนมบังคมคัล | ||
แล้วก็ออกนาวาจากหน้าวัง | ดูคับคั่งด้วยพหลพลขันธ์ | ||
ไม่เลี้ยวลัดถึงวัดชุมพลพลัน | ก็เหหันเรือประทับกับตะพาน | ||
เจ้าคุณก็จำเนียรธูปเทียนจุด | บูชาพุทธรูปใหญ่ในวิหาร | ||
ด้วยวัดชุมพลนี้มีมานาน | แต่ก่อนกาลกรุงเก่ามีเค้าความ | ||
ด้วยเจ้าพระยากลาโหมเล้าโลมไพร่ | ชุมนุมไว้วัดนี้ที่สนาม | ||
แล้วยกพลเกรียวกรูเข้าวู่วาม | ทำสงครามกับกษัตริย์ขัตติยา | ||
จับเจ้าแผ่นดินได้ให้ประหาร | ครั้นสมการมุ่งมาดปรารถนา | ||
ก็ได้ซึ่งสมบัติกษัตรา | จึ่งราชาภิเษกเป็นเอกองค์ | ||
ทรงนามท้าวพระเจ้าปราสาททอง | ได้ครอบครองรั้ววังดั่งประสงค์ | ||
มีพระราชศรัทธาปัญญายง | เสด็จทรงสร้างวิหารริมชานชล | ||
เสร็จพระราชศรัทธาเป็นอาราม | ประทานนามโดยวิเศษตามเหตุผล | ||
เดิมที่นี่ได้ประชุมชุมนุมคน | ชื่อชุมพลนิกายาราม | ||
ครั้นกรุงเก่าย่อยยับอัปรา | ซึ่งวัดวาพังลงเป็นดงหนาม | ||
โบสถ์พังโครมโทรมทรุดชำรุดตาม | ไดแจ้งความเริ่มรู้แต่บูราณ | ||
ครั้นแผ่นดินพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | มาสร้างรั้ววังนิวาสราชฐาน | ||
แล้วเลยทรงสถาปนาการ | พระวิหารให้คงดำรงดี | ||
แล้วปั้นรูปจอมปราชญ์ปราสาททอง | ดูเรืองรองงามงดสุกสดศรี | ||
ยืนอยู่หน้าอุโบสถปรากฏมี | ทุกวันนี้คนผู้ยังบูชา | ||
ครั้นสำเร็จเสร็จนบเคารพพระ | ก็เลยละผายผันจิตหรรษา | ||
เจ้าคุณให้ร้องบออกออกนาวา | โห่สามลาบอกยาวเสียงกราวเกรียว | ||
เหล่าฝูงชนชาวบ้านละลานหนี | บ้างหลบลี้วิ่งแต้ไม่แลเหลียว | ||
เรื่อไม่พายคลายคล่ำสักลำเดียว | ปะก็เลี้ยวจอดซบหลบแต่ไกล | ||
ฝีพายไม่รอรามาตะบึง | บรรลุถึงหน้าวัดโปรดสัตว์ใหญ่ | ||
แวะเรือเรียงเคียงจอดตลอดไป | เจ้าคุณให้จอดประทับกับตะพาน | ||
ท่านจุดธูปเทียนชูขึ้นบูชา | น้อมศิราหน่วงมนัสหัตถ์ประสาน | ||
พวกไพร่พลเริงรื่นชื่นสำราญ | ใจเบิกบานยินดีที่สบาย | ||
วักน้ำมนต์ใส่บนศีรษะทั่ว | บ้างลูบตัวอาบกินสิ้นทั้งหลาย | ||
ที่โกงเขาย่ำแย่แต่ปีกลาย | ให้ความหายลับลี้อย่าฎีกา | ||
รีบรัดมาถึงวักพะแนงเชิง | พอร่าเริงคึกคักเป็นหนักหนา | ||
เจ้าคุณขึ้นบกพลันไปวันทา | พระปฏิมาองค์ใหญ่ด้วยใจจง | ||
จุดธูปเทียนบุปผาบูชาพระ | คารวะขอความตามประสงค์ | ||
ขออารักษ์ศักดิ์สิทธิ์สถิตทรง | สิงในองค์พระปฏิมากร | ||
จงพิทักษ์รักษาโยธาทัพ | ที่คั่งคับพร้อมหน้ามาสลอน | ||
ซึ่งโพยภัยขออย่าเพียรมาเบียนบอน | จงถาวรสวัสดิ์ทั่วทุกตัวคน | ||
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ | ผู้คนคับสองข้างหว่างถนน | ||
ท่านเจ้าคุณเมตตาประชาชน | ที่ยากจนผู้ใหญ่เด็กเจ๊กคนโซ | ||
แจกเงินให้คนละเฟื้องนั่งเนื่องนับ | คนที่รับไทยทานประมาณโข | ||
บางคนออกวาจาวราโร | รัตพิโชชนะหมู่ศัตรูพาล | ||
เจ้าคุณลงนาวาเสร็จคลาเคลื่อน | เรือเขยื้อนเป็นละลอกกระฉอกฉาน | ||
ละลิ่วมาในวนชลธาร | บ่ายประมาณห้าโมงเศษสังเกตจำ ฯ | ||
๏ ถึงวังจันทรเกษมจิตเปรมปรา | แวะนาวาพักผ่อนจอดช้อนสำ | ||
เรือเจ้าคุณจอดเลียบประเทียบลำ | เวลาค่ำแรมทัพต่างหลับนอน ฯ | ||
๏ ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลาสาย | เหล่าตัวนายคั่งคับสลับสลอน | ||
ล้วนแต่งตัวเต็มยศบทจร | หมู่นิกรเกลื่อนกล่นต่างคนมา | ||
ชุมนุมที่ศาลาใหญ่หน้าวัง | มาพร้อมพรั่งนั่งรายทั้งซ้ายขวา | ||
คอยเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชา | ที่บรรดาตัวนายนั่งรายเรียง | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย | เสร็จผันผายขึ้นมานั่งยังเฉลียง | ||
ลูกทัพคำนับน้อมอยู่พร้อมเพรียง | คอยฟังเสียงท่านอยู่ดูชื่นบาน | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับโอษฐ์ | ภิปรายโปรดทักทายนายทหาร | ||
แล้วชักชวนไปวัดมนัสการ | พระวิหารเสนาสน์เยื้องยาตรา | ||
เข้าในวังขึ้นยังพระมนเทียร | แล้วน้อมเศียรอภิวันท์ด้วยหรรษา | ||
จุดธูปเทียนทั้งคู่ขึ้นบูชา | พระมหาที่นั่งในวังจันทร์ | ||
ออกจากวังไปยังพระอาวาส | นามเสนาสน์งามเลิศดูเฉิดฉัน | ||
ท่านเจ้าคุณคำนับอภิวันท์ | ธูปเทียนนั้นจุดถวายธิบายความ | ||
ว่าวัดนี้ของพระยาทปราสาททอง | เป็นเจ้าของสร้างไว้ในสยาม | ||
ครั้งแผ่นดินกรุงเก่าเป็นเค้าความ | แจ้งเหตุตามโดยเรื่องครั้งเมืองกรุง | ||
เมื่อเมืองเสียแก่พม่าพากันขุด | เอาไฟจุดลอกทองแล้วถลุง | ||
วัดสลักหักพังออกนังนุง | แต่ครั้งกรุงร้างรามาช้านาน | ||
ครั้นแผ่นดินจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ศรัทธาทั่วบพิตรประดิษฐาน | ||
เสด็จมาบำรุงผดุงการ | พระวิหารเสนาสน์สะอาดงาม | ||
เจ้าคุณเสร็จบูชาลีลากลับ | ขึ้นประทับบนศาลาหน้าสนาม | ||
ลูกทัพนายกองนั่งคอยฟังความ | อยู่ออกหลามศาลาที่หน้าวัง | ||
บ้างร้องทุกข์ขอข้าวต่อเจ้าคุณ | ว่าสิ้นทุนจวนจะอดข้าวหมดถัง | ||
ขอเบิกข้าวสารพอต่อกำลัง | เจ้าคุณฟังข้อคำคิดรำคาญ | ||
จึงผินผันหันหน้าปรึกษาเรื่อง | ด้วยว่าเมืองนี้ต้องเลิกเบิกข้าวสาร | ||
เพราะได้แจ้งกิจจาเวลาวาน | กรมการเขาว่าตราไม่มี | ||
ท่านเจ้าคุณชักทุนซื้อข้าวสาร | แจกทหารกล้วยไข่ให้อีกหวี | ||
ทั้งของคาวเนื้อเค็มก็เต็มดี | แจกโยธีกองทัพรับทุกคน ฯ | ||
๏ ครั้นว่าบ่ายชายแสงพระสุริเยศ | สักโมงเศษเอะอะเตรียมพหล | ||
ต่างลงเรือทุกลำประจำพล | บ้างเตรียมตนคอยฟังระวังตัว | ||
เจ้าคุณลงนาวาที่หน้าวัง | พร้อมสะพรั่งฝีพายซ้ายขวาทั่ว | ||
นายน้อยจับตระบองลั่นฆ้องรัว | ให้รู้ทั่วนัดบอกกันออกเรือ | ||
ฆ้องลั่นเสียงแซ่ซร้องก้องกังวาน | โห่ประสานสามลาสง่าเหลือ | ||
ลูกทัพนายกองนั้นไม่ฟั่นเฟือ | ล้วนสวมเสื้อเต็มยศหมดทุกนาย ฯ | ||
๏ มาประเดี๋ยวเลี้ยวประทะศีรษะรอ | ดูปราดปร๋อน้ำไหลเชี่ยวใจหาย | ||
ฝีพายขึงตึงข้อไม่รอพาย | บ้างเสียท้ายเรือปะประทะแพ | ||
บางฉลาดเลี้ยวพันกระชั้นแหลม | เรือไม่แพลมแพร่งพรายกระสายแส | ||
ที่ตรงศีรษะรอเสียงจอแจ | ช่วยกันแก้หัวเรือน้ำเหลือทน | ||
เรือก็แล่นเฉื่อยฉิวมาลิ่วลับ | แดดพยับมืดกลุ้มชอุ่มฝน | ||
ไม่แรงร้อนอ่อนสีสุริยน | เหล่าไพร่พลค่อยสบายรีบพายพลัน ฯ | ||
๏ พอถึงวัดทองใหญ่อยู่ในย่าน | มีนามบ้านพระนอนพักผ่อนผัน | ||
เรือกองทัพคับคั่งประดังกัน | แรมอยู่นั้นอีกคืนต่างรื่นเริง | ||
ในวัดทองซ่องซ่วมน้ำท่วมหมด | น้ำไม่ลดกำลังล้นขึ้นจนเหลิง | ||
ไม่มีที่หุงข้าวก่อเตาเพลิง | อาศัยเพิงโบสถ์ใหญ่พอได้การ | ||
พลนิกรต้องนอนอยู่ในเรือ | คนที่เหลืออาศัยในวิหาร | ||
อีกศาลาใหญ่กว้างข้างตะพาน | เหล่าทหารซ้อนซับขึ้นหลับนอน | ||
แต่ตัวฉันอยู่ในเรือเหลือเทวศ | นองน้ำเนตรโหยไห้ฤทัยถอน | ||
เป็นทุกข์ถึงขนิษฐายิ่งอาวรณ์ | เพราะพี่จรจากเจ้าจะเนานาน | ||
ไม่รู้ปีเดือนใดจะได้กลับ | ด้วยไปทัพจับศึกที่ฮึกหาญ | ||
กว่าจะสิ้นสรรพเสร็จสำเร็จการ | สุดประมาณเหลือเล่ห์คะเนวัน | ||
ครวญครวญหวนละห้อยพอผอยหลับ | ชักหงับหงับกลับตื่นสุดกลืนกลั้น | ||
กำสรดแสนแหนหวงแม่ดวงจันทร์ | โอ้กี่วันจะได้พบประสบนวล ฯ | ||
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแสงทองส่องสว่าง | ค่อยลูบล้างพักตราวิญญาหวน | ||
เจ้าคุณสั่งให้บอกออกกระบวน | เวลาจวนจะรุ่งฟุ้งอัมพร | ||
พอนาวาคลาเคลื่อนเขยื้อนโยก | ธงก็โบกริ้วริ้วปลิวสลอน | ||
นาวาเรื่อยเฉื่อยมาในสาคร | ก็รีบร้อนเร็วมาไม่ราแรม | ||
ถึงน้ำวนวนปะประทะคุ้ง | เรือหันพุ่งข้ามบากไปฟากแหลม | ||
ฝีพายจ้ำน้ำเป็นฟองทั้งสองแคม | ไม่พรอมแพรมพร้อมพรั่งพายตั้งใจ ฯ | ||
๏ ถึงเมืองสระบุรีเรือรี่เรียบ | เห็นทำเนียบรายเรียงเคียงไสว | ||
เขาปลูกตั้งหลังเด่นเห็นแต่ไกล | พลไพร่ยินดีด้วยปรีดา | ||
ต่างมุ่งมาดพอถึงหาดพระยาทศ | บ่ายกำหนดสี่โมงโปร่งเวหา | ||
พระสุริยงจวนจะลับพรรพตา | แลนาวาจอดเรียบประเทียบเรียง | ||
ที่ศาลาท่าน้ำลำกระแส | เรือนเป็นแพจอดชุมนุมบ้างทุ่มเถียง | ||
ชวนกันชิงเรือนที่มีระเบียง | ขอนของเรียงเข้าไปวางต่างประจำ | ||
ต่างคนต่างก็ก็จองปองที่อยู่ | ถึงก่อนดูเลือกได้เมื่อใกล้ค่ำ | ||
พอพักพิงอิงกายวายระกำ | ไม่ต้องทำเรือนร้านป่วยการคน | ||
ที่ลางนายผายผันไม่ทันเพื่อน | ไม่มีเรือนที่พำนักพักพหล | ||
หาไม้ไล่ทำหลังคาประสาจน | พอบังฝนบังฟ้าเป็นท่าลม | ||
ท่านเจ้าคุณใจดีอารีเหลือ | คิดแผ่เผื่อไพร่แท้แต่ประถม | ||
ทำเนียบปลูกไว้มีไม่นิยม | ด้วยอารมณ์เอ็นดูหมู่นิกร | ||
ทำเนียบปลูกไว้ท่าสี่ห้าหลัง | พร้อมหอนั่งหอเคียงเรียงสลอน | ||
สู้อยู่เรือบดเลยตามเคยนอน | ด้วยอาวรณ์เมตตาประชาชน | ||
ถ้าแม้นขึ้นสู่อยู่ทำเนียบ | ตรองการเรียบเรียงเห็นไม่เป็นผล | ||
จะไม่มีที่อาศัยแก้ไพร่พล | ท่านสู้ทนอยู่ในเรือใจเหลือดี | ||
ครั้นพลบค่ำย่ำฆ้องพวกกองทัพ | บ้างนอนหลับกรนอยู่เสียงฝู่ฝี่ | ||
แต่ตัวฉันตรึกตรมระทมทวี | โศกโศกีแสนสวาทไม่ขาดวาย | ||
แสนคะนึงถึงนวลหวนเทวศ | จนดวงเนตรบวมแดงเป็นแสงสาย | ||
อยู่ในเรือกัญญาใหญ่ไม่สบาย | คิดใจหายใจห่างในทรวงครวญ | ||
โอ้เจ้าดวงพวงพุ่มอุทุมพร | เมื่อยามนอนแนบถนอมกลิ่นหอมหวน | ||
เวลาตรมชมชูเรณูนวล | ยามรัญจวนก็วายหายกังวล | ||
ยิ่งนึกยิ่งตรึกตรมระทมทุกข์ | จะต้องบุกเดินป่าไปหน้าฝน | ||
จะข้ามดงพงชัฎระมัดตน | เหล่าฝูงชนคิดกลัวหนังหัวพอง | ||
ฤดูฝนความไข้มิได้หยอก | ผู้ใหญ่บอกเศร้าจิตคิดสยอง | ||
ที่ในดงลึกล้ำล้วนน้ำนอง | จะยกกองทัพไปกลัวไข้ดง | ||
ซึ่งปู่ย่าตาลุงครั้งกรุงเก่า | ฟังเขาเล่าจำไว้ไม่ใหลหลง | ||
ฤดูฝนเป็นไม่ไปณรงค์ | ทำการสงครามแต่ก่อนบ่ห่อนเป็น | ||
แต่เมื่อใดฝนแล้งแห้งสนิท | จึงจะคิดยกทัพไปดับเข็ญ | ||
คิดขึ้นมาน้ำตาตกกระเด็น | ไม่วางเว้นกลัวตายเสียดายตน | ||
โอ้กรรมเราเกิดมาเวลานี้ | พอไพรีมาสู่ฤดูฝน | ||
นึกแค้นอ้ายพวกฮ่อทรชน | จะฆ่าคนเสียด้วยไข้ใช้ปัญญา ฯ | ||
๏ ฉันตรองตรึกนึกพลางพอจ่างแจ้ง | สว่างแสงสุริเยเยี่ยมเวหา | ||
เป็นวันถือน้ำพิพัฒน์สัตยา | เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย | ||
ก็พร้อมด้วยนายทัพกับนายกอง | ลงเรือล่องน้ำมาเวลาสาย | ||
ล้วนแต่งตัวเต็มยศหมดทุกนาย | ต่างผันผายล้นหลามตามเจ้าคุณ | ||
รีบรัดมาถึงวัดสมุหะ | พร้อมด้วยพระหลวงยืนแลหมื่นขุน | ||
ทั้งหัวเมืองเป็นการวิ่งซานซุน | คอยคำนับรับเจ้าคุณอยู่เรียงราย | ||
เรือเจ้าคุณแม่ทัพจอดกับท่า | เยื้องยาตราพร้อมพรั่งคนทั้งหลาย | ||
ล้วนสวมเสื้อกำซาบดาบสะพาย | ที่ตัวนายคอยสดับรับบัญชา | ||
ต่างคนเข้าไปในวิหาร | ฟังโองการพร้อมกันด้วยหรรษา | ||
แล้วรับน้ำพระพิพัฒน์สัตยา | ตามตำราบุราณสาบานตัว | ||
ท่านเจ้าพระยาแม่ทัพกลับทำเนียบ | เรือประเทียบแก้ท้ายแล้วบ่ายหัว | ||
จอดประทับกับท่าเวลามัว | แดดสลัวจวนค่ำอยู่รำไร | ||
เวลาค่ำย่ำฆ้องครั้นสองทุ่ม | แตรก็รุมเป่าเสียงสำเนียงใส | ||
พวกทหารนั่งยามต้องตามไฟ | เอาฟืนใส่เรียงรายเป็นหลายกอง | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพกำชับสั่ง | ให้ประจุปืนประนังนั่งจดจ้อง | ||
เหล่าทหารหอกหลาวแลง้าวพลอง | พวกกองตรวจถือฆ้องกระแตตี | ||
ด้วยเรายกโยธามาจากถิ่น | ประมาทหมิ่นแล้วก็เห็นจะเป็นผี | ||
เผื่อพวกฮ่อต่อเข้ามาสระบุรี | จะเสียทีย่อยยับทั้งทัพชัย ฯ | ||
๏ ครั้นจวนแจ้งแสงสีตีสิบเอ็ด | ออกอึงเอ็ดเป่าแตรเสียงแซ่ใส | ||
ทหารเป่าขลุ่ยนัวรัวกลองชัย | ฟังเสียงไพเราะวังเวงด้วยเพลงแตร | ||
ครั้นรุ่งแสงสุริยาท้องฟ้าฟื้น | เจ้าคุณขึ้นทำเนียบหน้าท่ากระแส | ||
สำหรับขุนนางใช้ต่างแพ | อยู่ริมแม่น้ำวนชลธาร | ||
พวกนายกองนายทัพคำนับน้อม | มาพรั่งพร้อมนั่งเรียงเคียงขนาน | ||
คอยสดับตรับฟังจะสั่งงาน | จะมีการเหตุผลด้วยกลใด | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพขยับโอษฐ์ | ภิปรายโปรดไต่ถามความสงสัย | ||
พวกเรามาพร้อมพรั่งหรืออย่างไร | ใครป่วยไข้ที่บรรดามาด้วยกัน | ||
พวกนายทัพนายกองสนองเรียน | น้อมจำเนียรแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
คนกองทัพวิบัติอัศจรรย์ | เกิดปัจจุบันโรคร้ายเป็นหลายคน | ||
ท่านเจ้าคุณแจ้งความตามระบอบ | จึงประกอบยาละลายกระสายฝน | ||
ตามตำราหมอด้วงแก่แก้อับจน | ท่านสู้ทนนั่งปรุงบำรุงยา | ||
แล้วก็ให้อนุญาตประกาศสั่ง | ว่าทีหลังใครป่วยไข้ให้มาหา | ||
เพราะใจท่านอารีมีเมตตา | ตั้งรักษาเป็นธุระไม่ละเลย | ||
ถึงเที่ยงนางกลางคืนคนตื่นหลับ | คนกองทัพป่วยไข้มิได้เฉย | ||
สั่งให้ปลุกทุกครั้งเหมือนดังเคย | ไม่เสบยบอกเราเอาอาการ | ||
ด้วยลงทุนสำรองยากว่าสองชั่ง | ยาฝรั่งมากมายหลายขนาน | ||
ด้วยจงหวังตั้งใจจะให้ทาน | คิดเตรียมการถ้าใครป่วยได้อวยเออ | ||
แล้วสั่งการขุนชำนาญภักดีพุก | เที่ยวตรวจทุกเวลาอย่าได้เผลอ | ||
ใครเป็นโรคร้อนหนาวหรือหาวเรือ | ให้ดอกเตอร์พุกปรุงบำรุงยา | ||
ตั้งแต่นั้นท่านก็นั่งคอยฟังทั่ว | ใครยังชั่วใครจะหนักที่รักษา | ||
นายพุกเที่ยวทุกหมวดคอยตรวจตรา | ตามบัญชามิได้เว้นเช้าเย็นดู | ||
คนมากหายตายน้อยนับตัวถ้วน | นายพุกสวนสอบตรวจทุกหมวดหมู่ | ||
พวกกองทัพหายฟื้นต่างชื่นชู | ล้วนแต่รู้จักบุญคุณทุกคน | ||
เมื่อหยุดพักอยู่ที่ท่าพระยาทศ | ต้องรองดช้าอยู่ฤดูฝน | ||
ครั้นจะยกทัพไปกลัวไพร่พล | จะปี้ป่นเสียเพราะไข้ที่ในดง | ||
เจ้าคุณสืบสวนกะระยะทาง | พระยากลางพระยาไฟไพรระหง | ||
ให้รู้ที่สำคัญโดยมั่นคง | ด้วยจิตจงอยากยกขึ้นบกไป | ||
ให้พระรัตนกาศประภาษถาม | ก็แจ้งความมั่นคงไม่สงสัย | ||
เขาว่ามรคาพระยาไฟ | จะคลาไคลเหลือล้ำด้วยน้ำนอง | ||
ทั้งเป็นโคลนเป็นหล่มตมตลอด | จะมุดลอดหลีกลัดก็ขัดข้อง | ||
ต้องเดินข้ามแม่น้ำลำธารคลอง | ข้ามเป็นสองสามหนล้วนชลลึก | ||
ท่านเจ้าคุณแจ้งเหตุสังเวชไพร่ | ด้วยจะไปรบรากับข้าศึก | ||
จะมาตายเสียในดงที่พงพฤกษ์ | อนาถนึกเศร้าใจด้วยไพร่พล | ||
จึงแต่งบอกกราบทูลตามมูลเหตุ | เป็นไปรเวทเรียงความตามนุสนธิ์ | ||
ขอรอรั้งตั้งพักพำนักพล | แต่พอฝนฟ้าแล้งทางแห้งดี | ||
หนังสือเสร็จแล้วก็ส่งลงบางกอก | ผู้ถือบอกหมายมุ่งไปกรุงศรี | ||
ข้างกองทัพยับยั้งฟังคดี | พร้อมอยู่ที่พระยาทศหมดด้วยกัน | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพบังคับการ | ซ้อมทหารกระบวนรบให้ขบขัน | ||
ได้ฝึกสอนเช้าเย็นไม่เว้นวัน | ตั้งแต่นั้นเป็นคนสุขสนุกจริง | ||
พวงหนุ่มหนุ่มกลุ้มเกรียวไปเที่ยวเล่น | ล้วนแต่เป็นเจ้าชู้เกี้ยวผู้หญิง | ||
บ้างโกรธขึ้งหึงหวงเที่ยวช่วงชิง | แล้วค้อนติงพูดกระแทกที่แดกดัน | ||
ด้วยลูกสาวลาวชุมหนุ่มหนุ่มเกี้ยว | บ้างก็เที่ยวหาอวดประกวดประขัน | ||
บ้างสู่ขอเป็นเมียได้เสียกัน | แต่ตัวฉันไม่อยากเที่ยวไปเกี้ยวใคร | ||
ด้วยคิดถึงเนื้อคู่อยู่ที่บ้าน | จึงขี้คร้านยาตรย่างไปข้างไหน | ||
ถึงเห็นสาวสวยสดสู้อดใจ | เพื่อนเขาไปตัวเราอยู่เฝ้าเรือ | ||
วันหนึ่งนางแม่ค้าเรือมาขาย | เฝ้ามาดหมายรักฉันจิตฟั่นเฝือ | ||
อุตส่าห์หาเปรี้ยวหวานมาจานเจือ | ประหลาดเหลือแล้วเราเขาเอาจริง | ||
ฉันขี้คร้านผูกรักคิดจักเบือน | เหล่าพวกเพื่อนเย้ยยั่วว่ากลัวหญิง | ||
ควรจะหาที่พักสำนักพิง | คิดแอบอิงแต่พออุ่นถุนขี้ยา ฯ | ||
๏ ครั้นเดือนสิบเอ็ดเสร็จความขึ้นสามค่ำ | ได้จดจำจงหวังไม่กังขา | ||
บ่ายสามโมงสังเกตเศษเวลา | เรือไฟมาเปิดหลอดเสียงหวอดดัง | ||
เห็นเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ | จำถนัดเรือห่างอยู่ข้างฝั่ง | ||
ลงเรือแหวดแจวร่าเข้ามายัง | ถึงกระทั่งท่าทำเนียบจอดเทียบพลัน | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพออกรับรอง | ต่างยิ้มย่องปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
ขึ้นบนทำเนียบท่าพูดจากัน | แต่โดยฉันราชการในสารตรา | ||
ท่านเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ | ก็หยิบลายราชหัตถเลขา | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับมา | จิตปรีดาเบิกบานสำราญใจ | ||
ท่านเจ้าคุณรับรองของประทาน | ที่เจ้าคุณทหารนำมาให้ | ||
ดาบฝรั่งสองร้อยเล่มที่เต็มใน | หีบใหญ่ใหญ่รับขนขึ้นบนเรือ | ||
อีกกับน้ำมันหอมพระจอมเกล้า | ทรงเสกเป่าไว้เลิศประเสริฐเหลือ | ||
ดอกไม้ร้อยแปดอย่างไม่จางเจือ | กลั่นเอาเหงื่อทำน้ำมันด้วยบรรจง | ||
ไว้บำเรอลูกเธอเสด็จทัพ | เป็นที่นับถือความตามประสงค์ | ||
ได้ป้องกันสรรพภัยที่ในดง | ออกณรงค์ไม่ต้องคิดมีจิตกลัว | ||
ด้วยเจ้าคุณมีชื่อลือทุกเวียง | เป็นบุตรเลี้ยงพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว | ||
จึงประทานน้ำมันมากันตัว | ครั้นอ่านทั่วราชหัตถ์จัดจำเนียร ฯ | ||
๏ ลุวันเดือนสิบเอ็ดขึ้นแปดค่ำ | ได้จดจำแน่จิตประดิษฐ์เขียน | ||
เรีบยเรียงเรื่องเบื้องต้นไม่วนเวียน | พระยาเกียรติ์นั้นจึงมาถึงพลัน | ||
เชิญท้องตราขึ้นมาหนึ่งฉบับ | เจ้าคุณรับตามควรไม่ผวนผัน | ||
พระยาเกียรติ์ก็กลับไปฉับพลัน | ยังหาทันที่จะถามเนื้อความใด | ||
จึงประชุมลูกทัพกับหลานกอง | ฟังอ่านท้องตราแจ้งแถลงไข | ||
มีบังคับรีบให้ยกขึ้นบกไป | แจ้งอยู่ในสารตราที่มาวาง | ||
ถ้าให้ไปตรวจเสบียงให้เพียงพอ | กับอีกข้อหนึ่งให้ปรุงปลูกยุ้งฉาง | ||
ให้ถ้วนทุกจังหวะระยะทาง | กับเร่งส่วยด้วยที่ค้างอยู่นมนาน | ||
แม้นเงินไม่มีสำรองให้กองทัพ | ที่จะจับจ่ายเสบียงเลี้ยงทหาร | ||
เร่งส่วยเสียที่ท้าวเพี้ยกรมการ | มาเจือจานสำหรับกองทัพชัย | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพสดับตรา | บังคับมามั่นคงไม่สงสัย | ||
จึงโต้ตอบท้องตราปัญญาไว | ซึ่งจะไปเร่งส่วยเห็นป่วนการ | ||
แล้วจะให้ปลูกปรุงซึ่งยุ้งไว้ | กับจัดให้ซื้อเสบียงเลี้ยงทหาร | ||
ด้วยจะยกนิกรไปรอนราญ | จะละลานหน้าหลังเป็นกังวล | ||
ซึ่งจะให้ยกทัพไปสรรพเสร็จ | แต่ในเดือนสิบเอ็ดฤดูฝน | ||
เป็นที่ลำบากใจแก่ไพร่พล | น้ำยังล้นลงไม่ลดของดที | ||
ครั้นเสร็จสรรพพับผนึกจารึกหลัง | ส่งไปยังบางกอกบอกวิถี | ||
แรมทัพคอยท้องตราหลายราตรี | บ่ห่อนมีเภทภัยสิ่งใดพาล | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพพูดปรับทุกข์ | ซึ่งจะบุกไปในป่าน่าสงสาร | ||
กลัวผู้คนทั้งหลายจะวายปราณ | จึงคิดอ่านหาช่องสู่ท้องตรา | ||
ถึงจะมีโทษร้ายกฎหมายทัพ | จะสู้รับเอาผู้เดียวจริงเจียวหนา | ||
ที่ข้อขัดบังคับรับอาญา | ถึงจะฆ่าถือมั่นกตัญญู | ||
ขออย่าให้ไพร่พลไปป่นปี้ | เวลานี้ขืนจรต้องอ่อนหู | ||
จะรับบาปคนทั้งเพเหมือนเยซู | มิให้หมู่ไข้ป่ามันฆ่าคน | ||
มิใช่จะคร้านคลาดราชการ | เพราะสงสารโยธาด้วยหน้าฝน | ||
จะพากันไปตายทำลายชนม์ | แล้วเมืองบนก็ไม่มีไพรีรอน | ||
แม้นข้าศึกนับแสนตีแดนร่วม | ถึงน้ำท่วมให้ตลอดยอดสิงขร | ||
จะสู้ยกพหลพลนิกร | ถึงไฟร้อนต้านหน้าจะกล้าไป ฯ | ||
๏ เดือนสิบเอ็ดขึ้นสามค่ำตามเหตุ | บ่ายสักสามโมงเศษไม่สงสัย | ||
พอสมเด็จเจ้าพระยาท่านมาใน | เรือกลไฟถึงท่าพระยาทศ | ||
บังเอิญเทวดาวลาหก | ก็เร่งตกลงมาให้ปรากฏ | ||
ฝนก็ไม่หายเหือดไม่เงือดงด | ไม่หยาดหยดซู่ซ่าลงมาพอ | ||
ท่านเจ้าคุณไปคำนับรับสมเด็จ | ฝนสาดไม่ขาดเม็ดลงสอสอ | ||
ต้องกางกั้นร่มไปมิได้รอ | ลงนั่งย่อเรือพายม้ารีบคลาไคล | ||
ครั้นถึงเรือสมเด็จจอดเสร็จสรรพ | น้อมคำนับกราบก้มประนมไหว้ | ||
แล้วเรียนเรื่องทางบกจะยกไป | ในดงใหญ่น้ำมากลำบากคน | ||
ขอรั้งรอพอให้แห้งแล้งสักหน่อย | จึงจะค่อยยกไปในไพรสณฑ์ | ||
ถ้าขืนยกเวลานี้เห็นรี้พล | จะปี้ป่นตายลงในดงดาน | ||
ท่านเจ้าคุณจำเนียนกราบเรียนเสร็จ | ฝ่ายสมเด็จเจ้าพระยาฟังว่าขาน | ||
จึงมีพระประศาสน์ประกาศการ | ให้คิดอ่านรีบยกขึ้นบกไป | ||
เจ้าคุณรับโอวาทประศาสน์สั่ง | โดยข้อบังคับแจ้งแถลงไข | ||
จะให้ยกโยธารีบคลาไคล | รอพอได้ทำบุญเสร็จสักเจ็ดวัน | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพกลับทำเนียบ | ฝนไม่เรียบตกตวดเป็นกวดขัน | ||
พอพลบค่ำย่ำแสงพระสุริยัน | มีกำปั่นไฟถึงอีกหนึ่งลำ | ||
ด้วยท่านหลวงยุทธยานาธิกร | ท่านด่วนจรก็เห็นสมดูคมขำ | ||
เชิญท้องตรามากำลังฝนตกพรำ | ขึ้นบนทำเนียบท่าชลาธาร | ||
ส่งท้องตราให้แก่ท่านแม่ทัพ | อีกทั้งกับเงินจำแนกแจกทหาร | ||
ทั้งเงินห้าสิบชั่งสั่งประทาน | เป็นเงินงานเตรียมทัพสำหรับไป | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับรอง | แล้วอ่านท้องตราแจ้งแถลงไข | ||
มีบังคับจะยกขึ้นบกไป | แต่โดยในเดือนสิบเอ็ดจงเสร็จพลัน | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้ง | ตอบแถลงตามกระบนไม่ผวนผัน | ||
ด้วยโคต่างช้างมามาไม่ทัน | การติดตันเหลือเขยื้อนเคลื่นนิกาย | ||
แม้โคต่างช้างมาพร้อมมาถึง | เป็นแน่หนึ่งวันนั้นได้ผันผาย | ||
พอได้พาหนะทั่วเหล่าตัวนาย | จะถวายบังคมลาฝ่าละออง | ||
ครั้ยเสร็จสรรพพับผนึกจารึกบอก | ส่งบางกอกแจ้งความตามสนอง | ||
หลวงยุทธยาคำนับแล้วรับรอง | หนังสือสองสามฉบับแล้วกลับลา ฯ | ||
๏ ครั้นขึ้นสิบสี่ค่ำเดือนสิบเอ็ด | ได้จำเสร็จโดยหวังไม่กังขา | ||
น้ำท่วมถึงกระทั่งเลยหลังคา | นึกก็น่าอัศจรรย์ขันกระไร | ||
เรือต้องขึ้นจอดบกเจียวอกเอ๋ย | มิได้เคยพบเห็นเป็นไฉน | ||
นึ้ขึ้นถึงขนาดประหลาดใจ | แม้นผู้ใดบอกคงจะสงกา | ||
นี่ได้เห็นต่อพักตร์แก่จักขุ | เจอแลจุปากทักน้ำหนักหนา | ||
ขึ้นคืนเดียวเจียวร่วมท่วมหลังคา | เป็นน้ำป่าเช่นผู้เฒ่าเขาเล่ากัน ฯ | ||
๏ เดือนสิบเอ็ดเสร็จวัสสาสิบห้าค่ำ | เจ้าคุณทำบุญใหญ่ใจกระสัน | ||
สนองคุณบพิตรนิจนิรันดร์ | ด้วยเป็นวันพระจอมเกล้าฯเข้านิพพาน | ||
นิมนต์สงฆ์พร้อมเพรียงประเดียงฉัน | ในวันนั้นล้วนเป็นสุขสนุกสนาน | ||
มีมหาชาติใหญ่แล้วให้ทาน | มโหฬารสรวลเสเสียงเฮฮา | ||
ครั้นพลบค่ำย่ำแสงสุริย์ใส | จุดดอกไม้ส่องสว่างกลางเวหา | ||
แสงดอกไม้กระจ่างสำอางตา | จับนวลหน้านางลาวขาวเป็นใย | ||
ครั้นเทศน์ครบจบตามสิบสามกัณฑ์ | ตั้งแต่นั้นน้ำลดค่อยงดหาย | ||
ซึ่งกองทัพเปป็นสุขสนุกสบาย | พอหาดทรายผุดพ้นชลธาร | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพหยุดยับยั้ง | ท่านก็ตั้งซ้อมศึกฝึกทหาร | ||
ล้วนเข้าใจไวว่องคล่องชำนาญ | ท่านเห็นการน้ำลดเงือดงดลง | ||
จึงแต่งจัดขุนสัจจวาที | สืบวิถีแน่กำหนดลงจดหมาย | ||
เสร็จสรรพกลับสนองทั้งสองนาย | กราบเรียนรายระยะทางในกลางดง | ||
ก็พอจะไปได้ไม่สู้ยาก | ที่ลำบากน้ำเผื่อยังเหลือหลง | ||
เป็นหล่มลึกตลอดไปในไพรพง | ก็น้อยลงกว่าแต่ก่อนเป็นดอนไป | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้ง | ว่าทางแห้งไม่สู้ยากลำบากไพร่ | ||
คิดจะยกซึ่งพหลพลไกร | แต่ยังไม่มีช้างโคต่างจร | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพเฝ้าปรับทุกข์ | ไม่มีสุขเศร้าในฤทัยถอน | ||
เที่ยวหาจ้างช้างอำมาตย์ราษฎร | ก็บ่ห่อนสมคิดจิตรำพึง | ||
พอวันหนึ่งมีผู้ถือหนังสือกระดาษ | ของพระยาราชเสนาลงมาถึง | ||
ยังเจ้าคุณแม่ทัพคำนับคำนึง | เจ้าคุณจึงอ่านได้มีใจความ | ||
ใบบอกว่าพระยามหาอำมาตย์ | กับเจ้าเมืองโคราชเรืองสนาม | ||
เข้ารบอ้ายฮ่อนั้นวัดจันงาม | พอสงครามฮ่อแหกแตกกระจาย | ||
กองทัพไทยได้ทีตีกระทบ | พวกฮ่อรบแหกหันหนีผันผาย | ||
พวกกองทัพจับได้ทั้งไพร่นาย | ที่เหลือตายหลบหลีกตั้งปีกกา | ||
ฮ่อยกพลขึ้นบนหลังคาโบสถ์ | ปืนลูกโดดยิงไทยด้วยใจกล้า | ||
พวกอ้ายฮ่อดีนักแผลงศักดา | บนหลังคาโบสถ์ยืนยิงปืนกัน | ||
พระสุริยนสนธยาวลาหก | เพอิญตกยิ่งยวดเป็นกวดขัน | ||
พวกอ้ายฮ่อก็กระโดดจากโบสถ์พลัน | เข้าฝ่าฟันหนีไปได้ทั้งมวล | ||
แต่พระยามหาอำมาตย์นั้น | ได้จัดสรรคนลอบไปสอบสวน | ||
สกัดจับทัพฮ่อที่ก่อกวน | หลายกระบวนตามกระชั้นไปพันพัว | ||
เสมียนอ่านบอกเสร็จสำเร็จจบ | เจ้าคุณตบมือสรวลสำรวลหัว | ||
พวกอ้ายฮ่อเสียกระบวนมันจวนตัว | ด้วยความกลัวหนีโดดจากโบสถ์ไป | ||
คนล้อมถึงสามพันกระชั้นชิด | อ้ายฮ่อมันมีฤทธิ์จึงหนีได้ | ||
พวกเราไม่ต้องยกขึ้นบกไป | ด้วยสิ้นไส้ศึกเสร็จสำเร็จการ | ||
ซึ่งตัวฉันได้ฟังแล้วนั่งยิ้ม | ใจเอิบอิ่มปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | ||
นึกเดาเอาว่าสำเร็จศึกเสร็จการ | ได้กลับบ้านแล้วพวกเราอย่าเศร้าใจ | ||
คอยฟังกล่าวซึ่งท้องตราให้หากลับ | ก็ลึกลับเหลือล้นพ้นวิสัย | ||
ยิ่งนับวันก็ยิ่งหายกลับกลายไป | ประหลาดใจเหลือล้ำนั่งคำนึง | ||
อนึ่งชั่วตัวฉันลืมวันคืน | เมื่อจมื่นทิพเสนาลงมาถึง | ||
คุมฮ่อมาที่ทำเนียบไม่เงียบอึง | คนทะลึ่งอยากเห็นฮ่อวิ่งสอมา | ||
ฮ่อสองคนใหญ่เล็กเจ๊กแท้แท้ | ช่างเรียกแห้ฮ่อฟังน่ากังขา | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับบัญชา | เสมียนมาถามฮ่อเขียนข้อคำ | ||
จีนคนเล็กคนใหญ่มันให้การ | ดูเพ่นพ่านฟั่นเฟือนเลื่อนถลำ | ||
เห็นผันแปรแชเชือนเป็นเงื่อนงำ | มิได้จำจดไว้ไม่เป็นการ | ||
ทิพเสนาก็พาจีนฮ่อกลับ | เจ้าคุณแม่ทัพเกษมศานต์ | ||
แรมทัพอยู่ที่ท่าเป็นช้านาน | ทำบุญทานด้วยมนัสมีศรัทธา | ||
ได้ซ่อมแซมกุฏิพระวิหาร | ทำไม้กรานค้ำโพธิ์โตสาขา | ||
เอาเงินแจกคนชแรแก่ชรา | ทอดผ้าป่าโดยนิยมพอสมควร | ||
พอโคต่างช้างมาลงมาถึง | เจ้าคุณจึงให้คนลอบไปสอบสวน | ||
ให้ได้เห็นจึงรู้ดูจำนวน | จงถี่ถ้วนช้างตั้งเป็นพังพลาย | ||
ช้างเบ็ดเสร็จร้อยเจ็ดสิบช้างกว่า | โคต่างห้าร้อยถ้วนจำนวนหมาย | ||
ท่านเจ้าคุณยินดีเป็นที่สบาย | พร้อมทั้งนายทัพนายกองปรองดองกัน | ||
กำหนดที่จะยกขึ้นบกเดิน | บอกแต่เนิ่นเตรียมพหลพลขันธ์ | ||
เดือนสิบสองขึ้นสองค่ำเป็นสำคัญ | จะผายผันไปตำแหน่งท่าแก่งคอย | ||
พลกองทัพรู้ทั่วเตรียมตัวท่า | บ้างทำม้าสานตะกร้อไม่ท้อถอย | ||
ตระเตรียมเป็นธุระไม่ตะบอย | ไม่อ้อยสร้อยสานกระทอพอตะพาย | ||
พวกลาวชาวบ้านพระยาทศ | รู้กำหนดว่าจะไปแล้วใจหาย | ||
ท่านผู้เฒ่าเฝ้าละเหี่ยแสนเสียดาย | กองทัพอยู่ค่อยคลายพวกคนพาล | ||
ไม่อยากให้กองทัพไปลับลี้ | ตั้งอยู่ที่แสนเป็นสุขสนุกสนาน | ||
ทั้งข้าวของไม่หายวายรำคาญ | พวกชาวบ้านหม่นหมองนองน้ำตา | ||
กองทัพมาครั้งนี้เป็นที่ยิ่ง | ดีจริงจริงปกปักคุ้มรักษา | ||
ค่อยว่างเข็ญเย็นเกล้าเหล่าประชา | บ้างโศกาไห้ร่ำโศกรำพึง ฯ | ||
๏ ณ วันคืนปีเดือนจำเคลื่อนคลาด | เจ้าคุณราชวราขึ้นมาถึง | ||
ขึ้นทำเนียบท่าน้ำดั่งคำนึง | แล้วเชิญซึ่งท้องตราขึ้นมาพลัน | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับหนังสือ | มาจากมือเจ้าคุณราชแล้วผาดผัน | ||
มายังที่ชุมนุมประชุมพลัน | พร้อมพรักกันทั้งลูกทัพคอยรับรอง | ||
แล้วจึงอ่านสารตรามาบังคับ | ให้กองทัพยกเคลื่อนเดือนสิบสอง | ||
จะตอบโต้เบือนบิดผิดทำนอง | จงเคลื่อนกองทัพยกขึ้นบกไป | ||
ท่านเจ้าคุณแจ้งความตามบังคับ | จึงพูดกับเจ้าคุณราชไม่หวาดไหว | ||
โคต่างช้างมีมาจะว่าไร | อยากจะใคร่กรีพลพหลจร | ||
บัดนี้ช้างโคต่างมาถึงหมด | ได้กำหนดไว้แล้วแต่ก่อน | ||
จะยกซึ่งพหลพลนิกร | ใช่จะนอนเนิ่นใจเมื่อไรมี | ||
แล้วแต่งตอบข้อความตามที่กล่าว | เป็นเรื่องราวน้อมประณตบทศรี | ||
ขอถวายบังคมลาฝ่าชุลี | สิ้นวาทีห่อพับประทับตรา | ||
แล้วส่งลงบางกอกบอกนุสนธิ์ | ตามเหตุผลข้อศึกที่ปรึกษา | ||
ครั้นรุ่งแจ้งแสงศรีสุริยา | เห็นกำปั่นไปมาถึงท่าพลัน | ||
เห็นฝรั่งนั่งร่ามาหน้าเรือ | ประหลาดเหลือมาไยผิดใจฉัน | ||
พอเห็นหมวกกะระเซ็นเป็นสำคัญ | ชาวอเมริกันเขาขึ้นมา | ||
ถึงเจ้าคุณแม่ทัพคำนับน้อม | กับของพร้อมสารพัดเขาจัดหา | ||
เล่าแถลงแจ้งจิตตามกิจจา | ตามบรรดาคนนอกเขาออกทุน | ||
ฝรั่งพร้อมกันเสียเงินเรี่ยไร | ทั้งคนใหญ่คนน้อยพลอยอุดหนุน | ||
ทั้งนายห้างกัปตันท่านกงซุล | เขาทำบุญสู้เสียเงินเรี่ยไร | ||
ได้จัดซื้อผ้าห่มขนมปัง | กับอีกทั้งหยูกยารักษาไข้ | ||
ยาโกรกกรากใบตองสำรองไป | ทั้งขีดไฟชาหีบรีบเอามา | ||
จะมอบของสิ่งนี้ให้ใครบำเรอ | มอบดอกเตอร์ดูพิทักษ์ได้รักษา | ||
คนกองทัพจับไข้ได้พยา- | บาลบรรดาคนไข้ของให้ทาน | ||
พวกดอกเตอร์เขาก็พากันมารับ | ของสำหรับที่จำแนกแจกทหาร | ||
ช่วยกันขนล้นหลามถ้วยชามจาน | ทั้งนำตาลทรายกระสอบรับมอบมา | ||
ครั้นจวนวันจวนเดือนจะเคลื่อนคลาด | ไปจากหาดพระยาทศกำสรดหา | ||
ซึ่งตัวฉันนี้ไม่วายฟายน้ำตา | จะจากท่าหาดเหินเดินอรัญ | ||
ครั้นนาฬิกาได้ที่ตีสิบเอ็ด | คนพร้อมเสร็จเตรียมกายจะผายผัน | ||
ขนของลงนาวาไม่ช้าพลัน | บ้างชวนกันกินข้าวเช้าจะไป | ||
เหล่าลูกทัพหลานกองพร้อมนองเนือง | ล้วนแต่งเครื่องเต็มยศแสนสดใส | ||
ดูงดงามตามตำแหน่งแกร่งเกรียงไกร | ต่างคนไปจอดลอยคอยเจ้าคุณ | ||
ฉันนั่งที่หน้าแคร่เหมือนแต่ก่อน | อุระร้อนราวจะโลดกระโดดหมุน | ||
พอรุ่งแจ้งแจ่มฟ้าเรื่ออรุณ | ได้สกุณฤกษ์เบิกกระบวน | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับย่าง | งามสำอางเฉิดฉินดังอินศวร | ||
เสร็จลงนาวาเวลาควร | เรือก็หวนเหห่างออกกลางชล | ||
ฆ้องชัยลั่นสำเนียงเสียงประสาน | ฝีพายขานยาวรับอยู่สับสน | ||
พระสงฆ์เป็นธุระประน้ำมนต์ | แล้วร่ำบ่นชยันโตโมทนา | ||
เหล่าพวกสาวชาวบ้านละลานจิต | บ้างที่คิดถึงบุญคุณนักหนา | ||
เดินตามส่งกองทัพจนลับตา | บ้างโศกาโหยไห้อาลัยแล | ||
ฝีพายขึงตึงไหล่ใส่สวบสวบ | เรือยวบยวบมาในวนชลกระแส | ||
ตัวฉันเฝ้าเพิ่มพูนอาดูรแด | ทรวงตั้งแต่โศกข้อนอาวรณ์มา | ||
เรือรี่เรื่อยเฉื่อยฉิวละลิ่วฉุย | ฝีพายพุ้ยจ้ำหน่วงจ้างถลา | ||
ถึงที่แก่งน้ำนูนไหลพูนมา | ดังฉ่าฉ่าฉานฉานเสียงชาญชล | ||
น้ำพุ่งไหลโพนช่างโชนเชี่ยว | ฝีพายเหนี่ยวหันรับอยู่สับสน | ||
ต้องขึ้นแก่งแรงร้ายหลายตำบล | ประจวบจนแก่งคอยบ่ายคล้อยโมง | ||
น้ำเฉื่อยฉิวลิ่วเหลือพอเรือลอย | ไพร่พลคอยถ่อค้ำหักต้ำโผง | ||
ฝีพายผ่อนอ่อนใจต้องใช้โยง | ค่อยชะโลงหน่วงเหนี่ยวเต็มเรี่ยวแรง | ||
ช่วยกันรั้งช่วยกันลากกระชากฉุด | พอเรือหลุดล่วงพ้นตำบลแก่ง | ||
ถึงทำเนียบที่สร้างไว้กลางแปลง | เขาตกแต่งคอยรับกองทัพชัย | ||
เรือเจ้าคุณจอดประทับกับตะพาน | พอทหารยืนเรียงเคียงไสว | ||
พอเจ้าคุณย่างยกขึ้นบกไป | กัปตันใหญ่บอกเป็นปรีเซนต์นำ | ||
ทหารแถวยึกปืนขึ้นคำนับ | ไม่สับปลับดังว่าเลขาขำ | ||
แล้วบอกให้ยกปืนยืนประจำ | เขาช่างทำเจนจัดหัดชำนาญ | ||
ก็แรมทัพยับยั้งอยู่ที่นั่น | ครั้น ณ วันแรมสามค่ำได้ทำศาล | ||
บวงสรวงเทวดาเจ้าท่าธาร | ให้ภิบาลกองทัพจงรับรอง | ||
แล้วเจ้าพระยาแม่ทัพบังคับสั่ง | จัดแต่งตั้งลูกทัพบังคับต้อง | ||
ตามกระบวนทัพชัยในทำนอง | ปันหมวดกองด้วยจะยกขึ้นบกเดิน | ||
พระอภัยสงครามใจห่ามฮึก | เคยทำศึกรบรุกถึงฉุกเฉิน | ||
ให้เป็นนายทัพหน้าปัญญาเดิน | คงไม่เยินย่อยยับอัปรา | ||
ซึ่งพระไตรภพรณฤทธิ์ความคิดหลาย | เป็นปักซ้ายสำหรับกองทัพหน้า | ||
พระอภัยพลรบจบศักดา | เป็นปีกขวาเมื่อจะยกขึ้นบกไป | ||
พระมนตรีบวรซ้อนประดัง | เป็นกองหลังทัพหน้าอัชฌาสัย | ||
รวมจำนวนบาญชีที่มีไป | ล้วนคนในเกณฑ์ตั้งวังบวร | ||
พระยาชิตณรงค์เคยสงคราม | ไม่ครั่นคร้ามห้าวหาญชาญสมร | ||
เป็นทัพขันธ์เยื้องซ้ายนายนิกร | ไม่ย่อหย่อนไพรีมีศักดา | ||
พระยาพิชัยชาญฤทธิ์ไม่คิดพรั่น | เป็นทัพขันธ์หนุนเนื่องข้างเบื้องขวา | ||
พลรบถือครบเครื่องศัสตรา | ประจำหน้าที่ไม่ถอยคอยต่อกร | ||
เจ้าคุณกำกับพลคนทั้งปวง | เป็นทัพหลวงรี้พลคนสลอน | ||
ตั้งนายกองนายทัพเป็นตับตอน | แม้นราญรอนท่วงทีจะมีชัย | ||
ซึ่งท่านหลวงทวยหาญเชี่ยวชาญชัด | กับขุนจัดกระบวนพลเป็นคนใหญ่ | ||
คุมทหารสำหรับแม่ทัพไป | ระวังภัยมิได้หมิ่นอรินพาล | ||
พระพิบูลไอศวรรย์ตัวกลั่นกล้า | เป็นปีกขวาทัพใหญ่ใจทหาร | ||
ท่วงทีกลศึกฝึกชำนาญ | ย่อมรู้การแม่นยำทำอุบาย | ||
ซึ่งพระชาติสุเรนทร์นั้นเจนทัพ | การรบรับแล้วไม่หย่อนถอนขยาย | ||
คุมขุนหมื่นไพร่ฉกรรจ์พันทนาย | เป็นปีกซ้ายท่วงทีดีกว่าคน | ||
ซึ่งพระยามหานุภาพนั้น | ก็แข็งขันการศึกได้ฝึกฝน | ||
ให้ว่าที่ปลัดทัพกำกับพล | เพื่อประจญประจัญบานรับด้านกัน | ||
หลวงภักดีจุมพลรณดิลก | เป็นที่ยกกระบัตรทัพเห็นขับขัน | ||
ท่วงทีมีอำนาจฉลาดครัน | รู้สันทัดแท้ไม่แปรปรวน | ||
ซึ่งขุนสกลสารบาลใจหาญฮึก | ในการศึกแล้วไม่พรั่นใจผันผวน | ||
เป็นที่จเรทัพจับกระบวน | เจ้าจำนวนริ้วทัพกำกับการ | ||
ซึ่งท่านขุนอินทร์วิเชียรชาติ | ขุนพรหมราชปัญญาล้วนกล้าหาญ | ||
ขุนนราชุมพลคนชำนาญ | ขันสัจวาทิการทั้งสี่นาย | ||
เป็นกองแซงด้านในล้วนใจกาจ | ด้วยองอาจมิได้พรั่นจิตมั่นหมาย | ||
อยากรบศึกฝึกตัวไม่กลัวตาย | คุมนิกายพลรบครบทุกคน | ||
หลวงกิจจานุกิจประกาศนั้น | ก็เข้มขันชุมนุมคุมพหล | ||
หลวงอาสาสำแดงรู้แต่งพล | เมื่อประจญประจัญรับกับอริน | ||
หลวงจัตุรงคโยธาปัญญาลึก | การรบศึกแล้วไม่หันพักตร์ผันผิน | ||
ขุนนราฤทธิไกนใจทมิฬ | ขุนพิชัยชาญยุทธศิลป์รวมห้านาย | ||
ล้วนคุมไพร่ไวว่องเป็นกองหลัง | ถือโล่ห์ดั้งและดาบกำซาบสาย | ||
ทั้งปืนใหญ่ปืนน้อยปล่อยลูกปราย | ดาบตะพายง้าวทวนกระบวนเรียง | ||
ท่านหลวงทรงศักดาปัญญายง | ดั่งเล่าฮ่องตงเรื่องสามก๊กตีลกเอี๋ยง | ||
ท่านขุนอินทรภักดีฤทธีเพียง | เสมอเกียงอุยอาจฉลาดการ | ||
ท่านขุนรักพลพยุห์ใจดุเหลือ | ยิ่งกว่าเสือฤทธาก็กล้าหาญ | ||
ท่านขุนราชเมธาปัญญาชาญ | ล้วนกองด้านแซงนอกพลหอกแดง ฯ | ||
๏ เจ้าคุณคัดจัดกระบวนครั้นถ้วนพร้อม | ต่างฝึกซ้อมเหล่าทหารชาญกำแหง | ||
ครั้นรุ่งขึ้นอีกเวลาพอฟ้าแดง | ต่างจัดแจงเบิกช้างโคต่างกัน | ||
ท่านยกกระบัตรทัพก็จับจ่าย | ทั้งช้างพลายพังทั่วล้วนตัวกลั่น | ||
พวกนายทัพนายกองเที่ยวมองพลัน | แล้วเลือกสรรช้างขี่ดีทุกคน ฯ | ||
๏ ครั้นรุ่งขึ้นเดือนสิบสองแรมห้าค่ำ | เป็นวันกำหนดเคลื่อนเลื่อนพหล | ||
ย่ำรุ่งแจ้งแสงศรีสุริยน | พวกไพร่พลเตรียมพร้อมไม่พลอมแพลม | ||
ด้วยว่ายกกระบัตรจัดกระบวน | งามธงทวนพู่หอกดั่งดอกแขม | ||
ที่ในท้องทุ่งนาไม่ราแรม | สีขาวแซมแดงเขียวงามเทียวทวน | ||
เจ้าคุณนั่งคอยฤกษ์คอยเบิกเนตร | นั่งสังเกตฤกษ์นั้นไม่ผันผวน | ||
พอได้สกุณฤกษ์เบิกกระบวน | ลั่นฆ้องถวนสามครั้งขึ้นยังเกย | ||
ขึ้นสู่ช้างกระโจมแดงแสงระยับ | รูดม่านเยียรบับนั้นเปิดเผย | ||
ดูงามงดรจนาสง่าเงย | ช้างตัวเคยเป็นประเทียบหลังเรียบดี | ||
เดินไม่กระเพื่อมเพื้อมกระเทือน | ค่อยคลาเคลื่อนมาในทางหว่างวิถี | ||
เสียงเท้าคนเดินดงเป้นผงคลี | ดั่งธรณีเพียงจะแยกแตกเป็นคลอง ฯ | ||
๏ ครั้นถึงประตูป่าที่อารักษ์ | คนหยุดพักบูชังสิ้นทั้งผอง | ||
เจ้าคุณก็จำเนียรจุดเทียนทอง | แล้วจึงร้องเรียกคนให้ไปบูชา | ||
เสร็จคลาเคลื่อนกองทัพไม่ยับยั้ง | ถึงกระทั่งห้วยกระบอกเป็นซอกผา | ||
ก็ลุยช้างข้ามลำแม่น้ำมา | ดงพระยาเย็นเชียบเงียบเหงาใจ | ||
ล้วนป่าทึบดงชัฏสงัดแท้ | มองเห็นแต่ยางยูงสูงไสว | ||
โศกสักกรักกร่างมะทรางไทร | แสลงใจจิ่งจ้อคล้อตะคล้อง | ||
มะตูมตาดเต็งแต้วแก้วมะกา | คางมะค่าประคำร้อยและข่อยหยอง | ||
กระท้อนกระทุ่มอุทุมพรและค้อนกลอง | มะพลับพลองพลวงกะเพราสะเดาดง | ||
ต้นตะโกสะแกแสมสาร | ต้นกำยานพระยายาและกาหลง | ||
อัมพามะพูดชลูดโรกโลดทะนง | ทั้งเปรงปรงโปร่งฟ้าและขานาง | ||
ต้นก้านเหลืองมะเฟืองมะฝ่อไฟ | สลัดไดนางรองและทองหลาง | ||
มะกอกดอกประดู่ต้นหูกวาง | มะสังทรางส้มเสี้ยวเล็บเหยี่ยวยล | ||
เกดกุ่มพุมเรียงและเหียงหาด | มะตูมตาดติดดอกบ้างออกผล | ||
ตะเคียนเคียงเรียงระดะดูปะปน | มีทั้งคณฑาไทยลำไยดง | ||
ตะแบกกระเบากรันเกราไกร | ทั้งเนื้อไม้กฤษณามหาหงส์ | ||
ต้นกระทิงกระท่อมพะยอมประยงค์ | ทั้งคนทรงแส้ม้าพระยารัง | ||
ต้นดีหมีตาเสือมะเกลือมะกล่ำ | เหลือจะรำพันไม้เหมือนใจหวัง | ||
ด้วยอกฉันแทบพองเป็นหนองพัง | เหลือประทังที่จะทนหมองหม่นมัว | ||
คิดเกรงด้วยความไข้อกใจฝ่อ | ฤทัยท้อแดดแฝงแสงสลัว | ||
เข้าใต้พงดงรังระวังตัว | เพราะใจกลัวไข้ป่าจะฆ่าตาย | ||
ไหนจะคิดถึงคู่ที่ชูจิต | ครั้นหวนคิดถึงไข้แล้วใจหาย | ||
ไหนจะคิดถึงญาติไม่ขาดวาย | ทั้งพี่ชายน้องสาวและอาวอา ฯ | ||
๏ ครั้นมาถึงลำโศกวิโยคเศร้า | โอ้โศกเราเหลือลึกพ้องพฤกษา | ||
มีลำธารน้ำเฉื่อยไหลเรื่อยมา | เหมือนน้ำตาฉันไหลใจรัญจวน | ||
ต้นโศกเคียงเรียงรายอยู่ชายทาง | แลสล้างเหมือนหนึ่งว่าพฤกษาสวน | ||
เหมือนโศกฉันรายทางไม่ห่างครวญ | ไห้โหยหวนมาในทางกลางอรัญ | ||
ซึ่งหนทางเดินยากลำบากเหลือ | แม้นมาเมื่อหน้าน้ำจะทำขัน | ||
เหล่าไพร่พลคงตายวายชีวัน | ตั้งนับพันนับร้อยไม่น้อยตน | ||
ด้วยหนทางพอช้างจุตัวย่อง | เหมือนลำคลองแม่หมูฤดูฝน | ||
น้ำคงท่วมเลยประศีรษะคน | จะยกพลขึ้นบนบกก็รกเกิน | ||
ด้วยไม้ใหญ่เรียงชิดติดเป็นพื้น | ตลอดยืนถึงลำเนาภูเขาเขิน | ||
ถึงจะให้คนถางหนทางเดิน | ตลอดเนินแล้วคงตายลงหลายพัน | ||
จะทำแพต่อเรือก็เหลือคิด | ไปสักเส้นเห็นจะติดศิลากั้น | ||
จะหามเรือไปก็ยากลำบากครัน | ด้วยเป็นหลั่นเป็นตอนลุ่มดอนไป | ||
จะหาที่ต่อเรือเหลือลำบาก | จะโค่นถากถางดงที่ตรงไหน | ||
นอนค้างดงหลายวันคงบรรลัย | ด้วยความไข้มิใช่ชั่วกลัวระวัง | ||
ฤดูนี้เรามาเหมือนหน้าแล้ง | ยังไม่แห้งน้ำเฉอะล้วนเลอะขัง | ||
ถ้าแม้นมาหน้าฝนพ้นกำลัง | เป็นต้องฝังกันในดงลงสักพัน | ||
มิใช่เขาตัวเราเป็นหนึ่งแน่ | ไม่เที่ยงแท้โดยคำธรรมขันธ์ | ||
อนิจจาว่าไม่เบี่ยงไม่เที่ยงธรรม์ | ไม่รู้วันที่จะตายทำลายตน | ||
ไม่รู้ตัวว่าจะตายทำลายแท้ | เว้นเสียแต่ผู้วิเศษแจ้งเหตุผล | ||
จึ่งรู้ตัวว่าจะตายวายกังวล | ปุถุชนหาได้น้อยไม่ค่อยมี | ||
ฉันคิดถึงความตายใจหายวาบ | เหมือนเกิดลาภตามทางกลางวิถี | ||
หากว่าบุญเราหลายได้นายดี | ไม่อินทรีย์ของเราเน่าอยู่ไพร | ||
หากว่าเดชะบุญเจ้าคุณโข | สู้ตอบโต้ท้องตราหามาไม่ | ||
ถ้าเหมือนเขาเมายศไม่อดใจ | คงพาไพร่มาล้างเรี่ยทางเดิน | ||
คนอื่นก็พูดกันเช่นฉันว่า | เหล่าโยธาชวนกันสรรเสริญ | ||
บ้างนบนอบขอบบุญเจ้าคุณเกิน | บ้างอวยชัยให้เจริญยิ่งภิญโญ | ||
ตัวฉันนั่งแล้วลองคิดตรองตรึก | ถ้าปะศึกท่วงทีจะดีโข | ||
ด้วยฝูงไพร่พร้อมพรั่งตั้งมโน | แผลงเดโชเอาชนะกะศัตรู | ||
ของสนองพระเดชคุณอุดหนุนแท้ | เจ้าคุณแม่ทัพนี่อารีอยู่ | ||
ค่อยเคลื่อนคลายหายเข็ญท่านเอ็นดู | ช่วยชื่นชูชีวังเรายั่งยืน | ||
เหล่าพวกไพร่พูดจาว่ากันวุ่น | ขอแทนคุณท่านเมตตาจะฝ่าฝืน | ||
จะเอากายเป็นค่ายตับรับลูกปืน | พูดกันดื่นเจียวอย่างนี้เห็นมีชุม | ||
ค่อยเดินช้างมาในกลางพนมวัน | หัวอกฉันร้อนใจดั่งไฟสุม | ||
แสนกระสันเศร้าโศกเหมือนโรครุม | ให้กลัดกลุ้มตรมใจไม่เสบย ฯ | ||
๏ มาถึงห้วยหินลับดูลับลี้ | เหมือนกับพี่ลับมานิจจาเอ๋ย | ||
ทั้งลับตาลับหูลับคู่เชย | เมื่อไรเลยจะหายลับกลับได้ยล | ||
ตั้งแต่มาหาได้ลืมแม่ปลื้มจิต | เฝ้าแต่คิดถึงวันหลายพันหน | ||
ถึงยามกินยามนอนให้ร้อนรน | เป็นกังวลคะนึงคิดถึงนาง | ||
ทั้งคิดถึงมารดาและอาพี่ | ปานฉะนี้จรดลจิตหม่นหมาง | ||
คงคิดถึงลูกหลานข้ามด่านทาง | มาในกลางดงป่าพระยาไฟ | ||
ชาวบางกอกออกชื่อพระยาเย็น | แล้วก็เป็นสั่นหัวกลัวความไข้ | ||
ซึ่งเรามานี้จะรอดตลอดไป | หรือจะไม่พ้นดงจะปลงชนม์ ฯ | ||
๏ ครั้นมาถึงคันยาวขึ้นเขาโขด | สูงเด่นโดดแลเยี่ยมเทียมเวหน | ||
ช้างปีนขึ้นตัวตั้งระวังตน | ขึ้นสุดบนยอดเขาลำเนาเนิน | ||
ข้างทางแลเป็นเปลวล้วนเหวผา | หนทางมาสูงโดดบนโขดเขิน | ||
เป็นคันน้อยริมทางพอช้างเดิน | สะทกสะเทิ้นกลัวจะตกหกคะมำ | ||
ภูเขาเล่าก็ชันเป็นหลั่นลด | ช้างค่อยจดเดินเรียงกลัวเพลี่ยงพล้ำ | ||
ค่อยค่อยคุกขาหน้าอุตส่าห์คลำ | แม้นถลำแล้วเป็นเหลวด้วยเหวลึก | ||
ซึ่งคนอยู่บนสัปคับนั้น | มือถือมั่นตัวโยกอยู่โงกหงึก | ||
ดูเหวเห็นใจเต้นอยู่ทึกทึก | ช้างพลาดกึกคนงูบจับกูบงัน | ||
คนเดินเท้าเล่าก็ล้าทำหน้าจืด | คันยาวยืดใช่ง่ายเดินผายผัน | ||
ซึ่งหนทางนั้นเล่าภูเขาชัน | ช้างยังดันเต็มแย่อ้อแอ้ไป | ||
ฉันขี่ท้ายช้างเจ้าคุณเป็นบุญเกิน | แม้นต้องเดินเคี่ยวเข็ญเป็นไม่ไหว | ||
นี่ไม่ต้องล้าเลื่อยเหน็ดเหนื่อยใจ | เพราะว่าได้ขี่ช้างทางกันดาร ฯ | ||
๏ ครั้นถึงทับมะค่าเห็นน่าหยุด | พี่แสนสุดเป็นสุขสนุกสนาน | ||
แลตลอดโล่งเตียนเลี่ยนเป็นลาน | แลเชิงชานภูผาเห็นน่าชม | ||
ที่นั่นมีอารักษ์อันศักดิ์สิทธิ์ | สิงสถิตมาแท้แต่ประถม | ||
คนกองทัพพรั่งพร้อมน้อมประนม | ที่ใต้ร่มไม้รังตั้งบูชา | ||
แล้วคลาเคลื่อนกองทัพไม่ยับยั้ง | ดูคับคั่งพลนิกายทั้งซ้ายขวา | ||
บ้างเป็นหลุมเป็นบ่อมรคา | บ้างตั้งท่าชันตรงลดลงดิน | ||
ทางขึ้นขึ้นลงลงในดงชัฏ | บ้างเดินลัดหลีกออกทางซอกหิน | ||
บ้างสูงเยี่ยมเทียมฟ้าเมฆาฆิน | บางแห่งเห็นเหม็นกลิ่นมาไม่ดี | ||
ในดงชัฏฝูงสัตว์ไปไหนหมด | ไม่ปรากฏเจอพักตร์ฝูงปักษี | ||
ไม่ยินเสียงลิงค่างบ่างชะนี | ไม่เห็นมีนึกประหลาดอนาถใจ ฯ | ||
๏ ครั้นมาถึงมวกเหล็กเป็นที่เลี่ยน | สะอาดเตียนที่ทางช่างกว้างใหญ่ | ||
ก็หยุดซึ่งพหลพลไกร | เอาผ้าใบดาดหลังคามีฝาบัง | ||
ทำเป็นที่สำหรับประทับผ่อน | คนล่วงหน้ามาก่อนปลูกสองหลัง | ||
ดีกว่าคาแฝกมุงไม่รุงรัง | ยกกูบตั้งในสำหรับแม่ทัพนอน | ||
ครั้นเวลาคำรบเมื่อพลบค่ำ | คนประจำหน้าที่มีสลอน | ||
คอยนั่งยามตามไฟที่ในดอน | บางคนผ่อนพักหลับระงับกาย | ||
ฟังเสียงฆ้องกระแตแซ่เสนาะ | ทั้งเสียงเกราะหวั่นไหวน่าใจหาย | ||
ซึ่งละอองน้ำค้างลงพร่างพราย | ร่วงโปรยปรายต้องทั่วทุกตัวคน | ||
ตัวฉันนอนในแต๊นท์แสนสบาย | พอค่อยวายตากน้ำค้างอย่างเม็ดฝน | ||
ก็พอค่อยเป็นสุขไม่ทุกข์ทน | นอนเหนือบนพรมลาดสะอาดกาย | ||
แสนคะนึงถึงคู่ที่ชู้ชื่น | ในกลางคืนนอนไม่หลับกระสับกระส่าย | ||
โศกถึงมิตรคิดถึงเมียยิ่งเสียดาย | เฝ้านอนฟายชลนาไห้จาบัลย์ | ||
โอ้พวงพะยอมหอมไม่หายวายระเหย | เมื่อไรเลยจะได้กลับไปรับขวัญ | ||
พี่จากเจ้าลี้ลับมานับวัน | จะไกลกันไปทุกทีตั้งปีเดือน | ||
แสนเป็นห่วงดวงจิตขนิษฐ์นาฏ | เป็นห่วงญาติน้อยใหญ่ใครจะเหมือน | ||
ห่วงสมบัติพัสถานห่วงบ้านเรือน | เป็นห่วงเพื่อนพิสมัยอาลัยลาญ | ||
เวลาตีสิบทุ่มยิ่งกลุ้มจิต | ขุนพินิจรัวฆ้องเพรียกเรียกทหาร | ||
ให้ผูกช้างผูกม้าไม่ช้านาน | มาเตรียมการพร้อมพรั่งช้างพังพลาย | ||
แล้วบอกให้ช้างคุกบรรทุกของ | ทุกหมวดกองเตรียมกันจะผันผาย | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพประดับกาย | ขึ้นช้างพลายสีดอลออตา | ||
ตีสิบเอ็ดเสร็จเขยื้อนคลาเคลื่อนทัพ | พร้อมเสร็จสรรพไพร่นายทั้งซ้ายขวา | ||
กระบวนทัพขับขันอรัญวา | ล้วนแต่ป่าดงชัฏสงัดใจ | ||
แสงพระจันทร์สว่างกระจ่างแสง | แต่บังแฝงยงยูงสูงไสว | ||
ส่องสว่างอยู่บนกลางนภาลัย | แต่ว่าในดงคลุ้มเป็นพุ่มพฤกษ์ | ||
คนเดินเท้าแสนขยาดอนาถเหลือ | คิดกลัวเสือสัตว์ป่าเวลาดึก | ||
ที่ลางคนคร้ามขลาดอนาถนึก | ต่างโห่ฮึกเสียงกันอันตราย | ||
หนทางก็เหลือเลอะน้ำเฉอะชุ่ม | ล้านแต่หลุมหล่มเลอะเปรอะใจหาย | ||
ครั้นจวนแจ้งแสงเมฆาเวลางาย | ฉันไม่วายคิดถึงน้องจิตหมองมล ฯ | ||
๏ ครั้นถึงทุ่งใช้วานฉันวานหน่อย | ไปบอกสร้อยเสาวเรศแจ้งเหตุผล | ||
ว่าฉันไม่มีสุขเฝ้าทุกข์ทน | แลไม่ยลผู้ใดจะใช้วาน | ||
ยิ่งโหยหวนครวญหานิจจาเอ๋ย | ผู้ใดเลยจะช่วยกล่าวนำข่าวสาร | ||
ไปถึงมิตรขนิษฐายุพาพาล | แจ้งเหตุการณ์ว่าพี่ดีสบาย | ||
ไม่เจ็บปวดป่วยช้ำมีความสุข | เป็นแต่ทุกข์เศร้าโทรมถึงโฉมฉาย | ||
เป็นสุดงดที่จะคลาดสวาทคลาย | คิดถึงสายสุดที่รักที่จากทรวง ฯ | ||
๏ ถึงสระคุดเห็นสระมีประจักษ์ | ประหลาดนัดสระอะไรช่างใหญ่หลวง | ||
ฝูงคนมาวิดวักอาบตักตวง | น้ำในห้วงถึงว่าแล้งไม่แห้งใน | ||
เวลาเช้าฟ้าโล่งสี่โมงครึ่ง | เจ้าคุณจึ่งหยุดพหลพลไพร่ | ||
เสพโภชนาหารสำราญใจ | แล้วยกไปเข้าพงดงวนา | ||
ที่ผืนแผ่นดินบางแห่งบ้างแดงล้ำ | บ้างก็ดำเหมือนแสร้งแกล้งมุสา | ||
บางแห่งเหลืองสีล้ำดอกจำปา | พื้นสุธาบางแห่งขาวไม่ร้าวราน | ||
ที่ในดงพงพฤกษ์นึกประหลาด | ด้วยอากาศดงร้ายหลายสถาน | ||
บางแห่งร้อนบางแห่งเย็นเป็นวิการ | บ้างสะท้านจับเท้าหนาวขึ้นมา | ||
บ้างครั่นเนื้อตัวร้าวชักหาวนอน | บ้างก็ร้อนวิบัติขัดนาสา | ||
บางแห่งวิงเวียนหัวมืดมัวตา | บ้างจับนาสิกให้ชักไอจาม | ||
บ้างก็เหม็นขื่นเขียวเหม็นเปรี้ยวบูด | ไม่อาจสูดด้วยว่าจิตนั้นคิดขาม | ||
ด้วยอายแร่แต่ดินมักกินลาม | ตลอดตามสองข้างหนทางจร | ||
อีกอายว่านอายยาในป่าชิด | ล้วนมีพิษขึ้นอยู่ดูสลอน | ||
ครั้งต้องแสงสุริยาทิพากร | กำเริบร้อนด้วยพิษฤทธิ์วิกล | ||
อายพื้นดินนำพาให้อาพาธ | วิปลาสแรงกล้าเมื่อหน้าฝน | ||
ตกแล้งหมาดขาดเหงื่อยังเหลือทน | จึงพาคนให้เป็นไข้ได้รำคาญ | ||
คนเดินเท้าก้าวหล่มบ้างล้มลุก | ช้างเดินบุกหล่มล้าน่าสงสาร | ||
เหล่าโคต่างล้าล้มอยู่ซมซาน | บ้างวายปราณกลิ้งตายเป็นหลายโค | ||
ช้างบุกหล่มบ้างล้มด้วยเต็มล้า | ดูก็น่าสมเพชสังเวชโข | ||
เจ้าของช้างเสียใจร้องไห้โฮ | ว่าพุทโธ่ซื้อมาราคาแพง | ||
ที่ช้างใหญ่ไม่สู้ล้ามาติดติด | พระอาทิตย์คล้ายบ่ายลงชายแสง | ||
คนเดินเท้าอ่อนล้าระอาแรง | บ้างย่องแย่งเท้าพุปะทุพอง ฯ | ||
๏ ครั้นออกจากป่าดงพ้นพงชัฏ | โสมนัสยินดีไม่มีสอง | ||
ก็หยุดยั้งฝั่งน้ำลำตะคลอง | ต่างขนของปลงช้างกูบวางราย | ||
คนปลูกแต๊นท์สำเร็จโดยเสร็จสรรพ | เจ้าพระยาแม่ทัพเสร็จผันผาย | ||
เข้าพักในร่มแต๊นท์แสนสบาย | พลนิกายล้อมรอบขอบมณฑล | ||
ครั้นรุ่งแสงสุริยาภานุมาศ | จึ่งประกาศแก่เหล่าชาวพหล | ||
จะต้องพักอยู่นี่คอยรี้พล | ที่เหลือล้นล้าหลังยังไม่มา | ||
ซึ่งชาวบ้านอยู่ยังแขวงจังหวัด | ในดงชัฏล้วนลาวคนชาวป่า | ||
เขาก็ชักชวนกันมาวันทา | เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง | ||
บ้างเอาส้มหน่วยและกล้วยหวี | ใจอารีมาคำนับรับสนอง | ||
บ้างก็หาพริกผักและฟักทอง | ทำเป็นของกำนัลจัดสรรมา | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพก็รับรอง | กล่าวคำพร้องถามดั่งจิตกังขา | ||
อยู่ในพนมวันอรัญวา | เจ้าคิดหากินนั้นด้วยอันใด | ||
ซึ่งคนเป็นผู้ดีอย่างมีทรัพย์ | คะเนนับของเจ้าสักเท่าไหร่ | ||
พวกลาวเรียนแอ่ออพูดจ้อไป | บ้างวาได้ปีหนึ่งตำลึงเดียว | ||
บ้างว่ามีพอหยิบสิบสลึง | บ้างว่ามีบาทหนึ่งขอดจนเขียว | ||
ที่เศรษฐีอย่างยิ่งมีจริงเจียว | ตระหนี่เหนียวห้าตำลึงนั้นพึ่งมี | ||
ท่านเจ้าคุณได้ฟังคิดสังเวช | ครั้นแจ้งเหตุพวกลาวชาววิถี | ||
คิดสมเพชเวทนานึกปรานี | ใจอารีแก่คนที่จนจริง | ||
ท่านแจกเงินคนละบาทไม่ขาดหน้า | ลาวที่มานั่งรายทั้งชายหญิง | ||
บางคนกลัวจะไม่ได้ใจประวิง | ไม่นั่งนิ่งลุกขยับมาฉับพลัน | ||
ล้วนได้เงินคนละบาทสมมาดหมาย | ทั้งหญิงชายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
บ้างไหว้แล้วไหว้เล่าเฝ้ารำพัน | อวยพรท่านเจ้าคุณให้บุญมี ฯ | ||
๏ พอรุ่งเช้าเจ้าคุณท่านทำศาลเจ้า | ปลูกไว้เคียงศาลเก่าริมวิถี | ||
พร้อมหลังคาปกปิดมิดชิดดี | ดูท่วงทีเรือนฝรั่งด้วยช่างทำ | ||
วิไลเลิศเฉิดฉายถวายเจ้า | อีกรูปเสาวลึงค์ดูขึงขำ | ||
ใหญ่โตคะเนตาสักห้ากำ | สง่าง้ำอยู่ในศาลสะอ้านตา | ||
เครื่องบางสรวงเป็ดปูหัวหมูเหล้า | ถวายเจ้าให้พิทักษ์ช่วยรักษา | ||
พวกนายทัพนายกองเนืองนองมา | ซึ่งบรรดาพลไพร่ได้เอ็นดู | ||
ซึ่งโรคภัยอันตรายอย่ากรายกล้ำ | เจ้าจงบำบัดภัยอย่าให้สู้ | ||
ขอจงช่วยบำรุงผดุงชู | ทุกหมวดหมู่กองทัพจนกลับมา | ||
ด้างอยู่นั้นสองวันกับสามคืน | พอคนชื่นหายเหนื่อยที่เมื่อยขา | ||
ก็ยกซึ่งพยุหบาตรเยื้องยาตรา | ข้ามช้างม้าที่แม่น้ำลำตะคลอง | ||
แล้วเดินตามวนาป่าละเมาะ | ชมว่านเปราะพอพ้นหายหม่นหมอง | ||
ทั้งว่านแรดว่านช้างว่านยางทอง | ทั้งว่านปล้องว่านปลามหากาฬ | ||
มีทั้งว่านเสน่ห์จันทน์ว่านฟันม้า | ว่านพระยาสามรากว่านสากสาร | ||
ว่านนิลเพทเจ็ดศีรษะหนุมาน | มีทั้งว่านตะง้าวว่านสาวพึง | ||
อีกว่านตูมว่านเต่าว่านเฒ่าหง่อม | และว่านหอมว่านเห็ดว่านเพ็ชหึง | ||
ว่านกำแพงเพชรเจ็ดชั้นสามพันตึง | อีกว่านอึ่งว่าคางคกว่านนกยาง | ||
ว่านเพ็ดน้อยเพ็ดม้าว่านสาโรช | ว่านกำโหมดว่านมัวว่านหัวสาง | ||
ว่านแพทว่านรภิมอยู่ริมทาง | ว่านกระดางนางกวักว่านจักบัว | ||
ว่านเพชสงฆาว่านอาสพ | ว่านบุตรลบมีเป็นจุกสิ้นทุกหัว | ||
อีกว่านอุกว่านอาบว่านคราบวัว | อีกว่านพลั่วว่านพลวกว่านหมวกคน | ||
ว่านอีดำอีแดงแสงอาทิตย์ | และว่านพิษขึ้นหมู่ฤดูฝน | ||
อีกว่านเจ็ดช้างสารว่านกำพล | ทั้งว่านต้นหลายหลากมีมากนัก | ||
ว่านดีดีมีถมน่าชมชิด | อยู่ติดติดแลดูล้วนรู้จัก | ||
จะวานเพื่อนก็ไม่พบประสบพักตร์ | นึกแสนรักแลดูหมู่อรัญ | ||
คิดคิดจะลงช้างวิ่งวางหา | เกรงอาญาเจ้าคุณจะหุนหัน | ||
ถ้ามาตรแม้นท่านโกรธทำโทษทัณฑ์ | นึกหาอันจะรำคาญด้วยว่านยา ฯ | ||
๏ ครั้นถึงพุนกยูงมุ่งเขม้น | มิได้เห็นนกยูงฝูงปักษา | ||
นกยูงไปไหนนะไม่ปะตา | ขอเชิญมาตรงนี้ขอพี่ชม | ||
ห้อนหางให้พี่วายหายกำสรวล | ช่วยชักชวนพอให้ปลื้มลืมประถม | ||
คิดถึงน้องหมองในฤทัยตรม | อกระทมอยู่เจียวฉันแต่วันมา | ||
ครั้นกองทัพลับพุนกยูงแล้ว | ไม่ผ่องแผ้วเหือดสิ่นถวิลหา | ||
ช้างก็เดินโดยทางกลางวนา | พระสุริยาบ่ายน้อยคล้อยอำพน ฯ | ||
๏ ถึงนครจันทึกนึกสงสัย | เมืองอะไรกลางป่าน่าฉงน | ||
ไม่เห็นมีที่อยู่เหล่าผู้คน | หรือว่าต้นไม่บังเมืองตั้งไกล | ||
ครั้นพ้นท้องทุ่งกว้างมีทางตรง | แลเห็นธงปักแพ้วอยู่แหววไหว | ||
เขาบอกว่าเสือกินคนฉงนใจ | เสืออะไรมีอยู่มากฉันอยากยล | ||
ถามนายแขวงนายกำนันนั้นเขาว่า | กองทัพมาเมื่อหมู่ฤดูฝน | ||
มาเจ็บนอนอยู่ในป่ารักษาตน | เพื่อนสองคนอยู่รักษาพยาบาล | ||
ครั้นว่าฝนตกหนักเพื่อนผลักหนี | เจ้าคนเจ็บเต็มทีน่าสงสาร | ||
ก็นอนอยู่เอกีราตรีกาล | เสือก็คลานเข้าฟัดขบกัดกิน | ||
แล้วคนเขาเดินพบอศภเหลือ | เป็นรอยเสือกัดไว้ยังไม่สิ้น | ||
ทำธงปักให้คนเขายลยิน | ว่าตรงถิ่นที่นี่มีรังควาน | ||
ซึ่งตัวฉันได้ฟังคิดสังเวช | นึกสมเพชมิได้วายหายสงสาร | ||
ถ้าแม้นเราเจ็บลงอยู่ดงดาล | เป็นอาหารเสือเหมือนเขาอกเราอา | ||
ถึงเราเจ็บเจ้าคุณเห็นเป็นไม่ทิ้ง | เป็นความจริงใช่แสร้งแกล้งมุสา | ||
คงไม่ต้องว้าเหว่อยู่เอกา | ด้วยเรามาริมเท้าแห่งเจ้านาย | ||
แต่คนอื่นเป็นไข้อยู่ในทาง | ยังให้ช้างขี่มารักษาหาย | ||
แล้วเจ้าคุณสั่งทั่วทุกตัวนาย | พลนิกายเจ็บจริงอย่าทิ้งกัน ฯ | ||
๏ ครั้นถึงกุดผักหนามเหมือนหนามยอก | ไม่หลุดออกจากอกวิตกฉัน | ||
เฝ้าแปลบปลาบอยู่เช่นนี้ทุกวี่วัน | โศกกระสันนี้เหมือนหนามยอกตามทรวง | ||
ซึ่งหนามผักหนามพงพอบ่งได้ | หนามในใจสุดจักคิดหนักหน่วง | ||
แม้นได้ยลพักตราสุดาดวง | หนามคงร่วงหลุดตกจากอกพลัน | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง | ให้ยับยั้งซึ่งพหลพลขันธ์ | ||
พลไพร่ตั้งล้อมอยู่พร้อมกัน | พักอยู่นั่นนอนคืนเช้าตื่นไป | ||
ก็คลาเคลื่อนเขยื้อนยาตรคลาดกระบวน | ดูธงทวนแลเป็นทิวปลิวไสว | ||
ก็รีบเร่งพหลพลไกร | ถึงเขาใหญ่เขื่อนลั่นกั้นหนทาง | ||
เดินตามตรอกซอกผาศิลาลื่น | ไสช้างขึ้นลำเนาภูเขาขวาง | ||
ดูสูงเยี่ยมเทียมเวหานภาพางค์ | เจ้าแม่นางงามสถอตศักดิ์สิทธิ์ครัน | ||
พวกกองทัพนับถือบูชาเจ้า | ที่เชิงเขาน้อมถวายแล้วผายผัน | ||
ขึ้นหนทางดูช้างขึ้นตัวชัน | อุตส่าห์ดันขึ้นเขาค่อยเทาเดิน | ||
ชมพูผาแลเลื่อมเป็นเหลื่อมย่อ | ตะแง้ตะงอเงื้อมชะงักตะพักเผิน | ||
บ้างเวิ้งวุ้งรุ้งตะเพิงดั่งเชิงเทิน | บ้างเป็นเนินลาดเตียนเลี่ยนเป็นลาน | ||
เดินช้างข้ามตลอดพ้นยอดเขา | ช้างก็เหย่าเดินใหญ่ในไพรสาณฑ์ | ||
ข้ามดงออกป่ามาไม่นาน | ข้ามท้องธารออกทุ่งฝุ่นฟุ้งทาง ฯ | ||
๏ ครั้นถึงลาดบัวขาวเช้าสังเกต | สี่โมงเศษหยุดสำนักพักตามอย่าง | ||
เสพโภชนาหารสำราญพลาง | อยู่ที่หว่างร่มรุกขะเรียงราย | ||
เห็นหนองน้ำใหญ่โตมีโกมุท | บ้างพ้นผุดจากวนชลสาย | ||
น้ำใสสะอาดเย็นมองเห็นกาย | มัจฉาว่ายอยู่ในวนชลธาร | ||
ซึ่งพักอยู่ที่นั่นไม่ทันช้า | เสร็จคลาดคลาเคลื่อนพหลพลทหาร | ||
เดินดงออกแดนแสนสำราญ | แล้วลงธารเลยท่าเดินผ่าพง ฯ | ||
๏ ถึงสีคิ้วเหมือนน้องรักของพี่ | หล่อนเคยสีผึ้งวาดพาดขนง | ||
ประจงจัดดัดง้อมน้อมเป็นวง | ดั่งศรองค์หริรักษ์พระจักรี | ||
เห็นเรือนลาวชาวย่านบ้านสีคิ้ว | เป็นแถวทิวตลอดทางหว่างวิถี | ||
เห็นคอกโคเขื่อนรอบเป็นขอบดี | กว้างสักสี่ห้าเส้นเห็นวิไล | ||
มีทั้งอาวาสสะอาดเอี่ยม | ปักไม้เสียมเขื่อนเคียงเรียงไสว | ||
นี่ใครหนอสามารถประหลาดใจ | มาสร้างไว้กลางดอนแต่ก่อนกาล | ||
แลเห็นที่ทำเนียบประเทียบพัก | ดูคึกคักใหญ่โตรโหฐาน | ||
เมืองโคราชเกณฑ์ระดมกรมการ | ในแขวงบ้านทำสัหรับกองทัพชัย | ||
พวกกรมการพร้อมพรั่งคอยนั่งรับ | เชิญเจ้าคุณแม่ทัพพักอาศัย | ||
ท่านเจ้าคุณฟังแถลงครั้นแจ้งใจ | ก็สั่งให้หยุดพักสำนักพลัน | ||
พวกทหารอยู่รอบริมขอบค่าย | พลทั้งหลายปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
ครั้นพลบค่ำย่ำสงพระสุริยัน | ต่างชวนกันหลับนอนผ่อนสบาย | ||
ยกกระบัตรท่านจัดให้คนอยู่ | ทุกหมวดหมู่พร้อมพรั่งสิ้นทั้งหลาย | ||
ตามด้านนอกด้านในทั้งไพร่นาย | อยู่เรียงรายตามรอบโดยขอบควร | ||
เวลาค่ำย่ำยามตามตำหรับ | ผู้ตรวจทัพเดินรอบเที่ยวสอบสวน | ||
โดยพิชัยสงครามตามกระบวน | ดูถี่ถ้วนฟืนไฟระไวระวัง | ||
ฝ่ายขันโลกนัยนาโหราเฒ่า | แกนั่งเฝ้าดูฟ้าเหมือนบ้าหลัง | ||
ฉันร้องถามด้วยเสียงสำเนียงดัง | ว่าท่านนั่งดูอะไรไม่ได้การ | ||
แกร้องบอกว่าเปล่าดูดาวเล่น | ด้วยเห็นเป็นนิมิตผิดสัณฐาน | ||
ดาวพระเสาร์กับดาวพระอังคาร | เห็นพบพานเข้าเคียงอยู่เรียงกัน | ||
เหล่าคนอื่นตื่นตรูกันดูหมด | เห็นปรากฏตาคนบนสวรรค์ | ||
คนตื่นดูมิใช่น้อยสักร้อยพัน | เจ้าคุณท่านก็ออกข้างนอกดู | ||
แล้วถามว่าตาโหรเป็นอย่างไร | ขุนโลกนัยนาก้มหน้าอยู่ | ||
แล้วเรียนตามศึกษาตำราครู | ที่ได้รู้เรียนมาก็ว่าดี | ||
ต่างคนก็กลับไปหลับนอน | ครั้นทินกรสว่างกระจ่างศรี | ||
มิได้ยกพหลโยธี | เจ้าคุณมีใจสังเวชสมเพชพล | ||
เพราะด้วยว่าล้าเลื่อยยังเมื่อยนัก | จะต้องพักผ่อนแรงแห่งพหล | ||
แรมอยู่นี่เสียอีกคืนพอชื่นตน | ด้วยผู้คนใช้เขาต้องเอาแรง ฯ | ||
๏ ยังมีผู้มาร้องฟ้องเจ้าคุณ | ว่ากรมการทำวุ่นขึ้นในแขวง | ||
ด้วยข้าวสารซื้อหาราคาแพง | ใจโกงแกล้งเก็บข้าวสารทุกบ้านเรือน | ||
ว่าจะไปจำแนกแจกกองทัพ | ทำสับปลับโกงใหญ่ใครจะเหมือน | ||
คิดเบียดเบียนผันแปรให้แชเชือน | อ้างป้ายเปื้อนกองทัพอัประมาณ | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพสดับเรื่อง | บัญชาเยื้องถามไถ่ปราศรัยสาร | ||
สั่งขุนศรีกระดาลพลคนชำนาญ | เป็นตระลาการชำระความถามซัก | ||
ท่านขุนศรีคำนับรับบัญชา | แล้วออกมาถามไถ่ให้ประจักษ์ | ||
กรมการรู้ตัวคิดกลัวนัก | ไม่เยื้องยักสารภาพลงกราบลน | ||
ท่านขุนศรีเรียกเอาซึ่งข้าวสาร | คืนชาวบ้านก็มารับอยู่สับสน | ||
ล้วนยกมือไหว้ทั่วทุกตัวคน | ต่างก็ขนข้าวสารไปบ้านเรือน ฯ | ||
๏ ครั้นรุ่งขึ้นอีกวันพร้อมกันหมด | รู้กำหนดจะคลาลีลาเคลื่อน | ||
เหล่าผู้คนพร้อมพรักบ้างตักเตือน | ชักชวนเพื่อนหุงข้าวแต่เช้ากิน | ||
ครั้นรุ่งแสงสุริยาทิพามาศ | เสร็จเยื้องยาตรรัถาเปล่งราสิน | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพประดับอินท- | ทรีย์เสร็จผินขึ้นช้างสำอางพราว | ||
เหล่าพหลพลไพร่น้ำใจคึก | บ้างโห่ฮึกอึงลั่นสนั่นฉาว | ||
พลรบขบเขี้ยวมาเกียวกราว | เสียงฝีเท้าคนเดินแทบเนินพัง | ||
แล้วเดินทัพออกทุ่งมุ่งเขม้น | เหลียวหลังเห็นกองทัพตอนตับหลัง | ||
ยาวเป็นพืดยืดมาประดาดัง | ดูคับคั่งพวกพหลพลนิกร | ||
เห็นน่าเพลิดเพลินใจมาในทุ่ง | กว้างเวิ้งวุ้งแลเด่นเห็นสิงขร | ||
ก็ขับช้างเดินผ่าทุ่งนาดอน | เร่งรีบร้อนเดินมาไม่ช้านาน | ||
๏ พอข้ามลำตะคองถึงสองเนิน | ดูน่าเพลินวัดมีพร้อมวิหาร | ||
ในใจฉันบันเทิงเริงสำราญ | เห็นมีบ้านไม่น้อยหลายร้อยเรือน | ||
มองเห็นลาวหญิงชายนั่งรายเรียง | ถือข้าวห่อนั่งเคียงอยู่กลาดเกลื่อน | ||
แถวยาวนั่งตั้งจิตไม่คิดเชือน | พอช้างเคลื่อนถึงที่ลงอยู่ตรงกัน | ||
พอเจ้าคุณคลาไคลออกไปดู | ลาวก็ชูเหนือหัวบ้างตัวสั่น | ||
บ้างก็เรียนว่าของถวายเจ้านายพลัน | เจ้าคุณท่านเมตตาประชาชน | ||
แจกเงินคนละเฟื้องดูเปลืองโข | มีมโนศรัทธาหากุศล | ||
ชอบทำบุญวณิพกยาจกจน | แจกจบพ้นทั่วแล้วทั้งแถวยาว | ||
พวกกิงทัพรับเอาห่อข้าวเหนียว | วิ่งกรูเกรียวยินดีเสียงมี่ฉาว | ||
แก้ดูกันออกสอข้าวห่อลาว | เกลือสินธาวมีอยู่ริมให้จิ้มกิน | ||
ก็แรมอยู่ที่นั่นไม่ผันผาย | เวลาสายสุริยาเปล่งราศิน | ||
เช้าสักสามโมงเศษสังเกตชิน | ต่างก็กินข้างปลาหาสบาย | ||
กรมการอักโขเมืองโคราช | มาเกลื่อนกลาดคอยรับกองทัพหลาย | ||
ล้วนแต่หลวงพระทั่วลาวตัวนาย | ต่างผันผายเข้าหาคุณขุนสกล | ||
ผู้ว่าที่มาเหจเรทัพ | ให้พานำคำนับจอมพหล | ||
ข้างฝ่ายท่านจเรทัพรับยุบล | มากราบเรียนโดยนุสนธิ์ตามมีมา | ||
ท่านเจ้าคุณยินดีมีประภาษ | อนุญาตนำเขาเข้ามาหา | ||
ข้างท่านจเรทัพรับบัญชา | แล้วออกมานำท่านเหล่านั้นไป | ||
กรมการถึงพร้อมน้อมคำนับ | ต่อจอมทัพเรียนแจ้งแถลงไข | ||
ด้วยพระยากำแหงนั้นแจ้งใจ | จึ่งใช้ให้มาคำนับรับเจ้าคุณ | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ่ม | จึ่งเยื้อนแย้มตอบพลันไม่หันหุน | ||
ภิปรายโปรยบัญชาด้วยการุณ | ขอบใจคุณโคราชประภาษดัง | ||
แล้วถามเรื่องไปพบรบอ้ายฮ่อ | ยังเหลือหลออยู่บ้างหรือข้างหลัง | ||
กรมการเรียนตามความสัจจัง | ว่าเหลือยังมีน้อยสักร้อยคน | ||
แล้วเจ้าคุณแม่ทัพก็กลับถาม | โดยข้อความที่วิเศษตามเหตุผล | ||
การบ้านเมืองเป็นสุขหรือทุกข์ทน | ซึ่งฟ้าฝนบริบูรณ์หรือสูญทราม | ||
กรมการกราบเรียนจำเนียรนึก | ว่าเกิดศึกราชประเทศเขตสยาม | ||
ต้องยกทัพจับฮ่อต่อสงคราม | ไพร่ได้ความยากเย็นเพราะเกณฑ์ไป | ||
เสร็จคำขานกรมการก็ลากลับ | ค่อยขยับออกมาหาช้าไม่ | ||
ครั้นเวลาพลบค่ำลงรำไร | พลไพร่พรักพร้อมนั่งล้อมวง | ||
ครั้นเวลาประมาณยามสักสามทุ่ม | เสียงปืนตูมติดติดพิศวง | ||
ท่านขุนสกลสารบาญหาญณรงค์ | มาปลุกแอตดิกงทั้งสองคุณ | ||
ได้ยินอีกเสียงปืนใหญ่ครืนลั่น | อัศจรรย์จริงจริงคนวิ่งวุ่น | ||
เตรียมปืนใหญ่เอะอะชุลมุน | ดินกระสุนพร้อมพรักเตรียมคักคึก | ||
ท่านยกกระบัตรทัพกำชับคน | ให้เตรียมตนด้วยว่าเวลาดึก | ||
หรือมีปัจจามิตรต่างคิดลึก | ทัพหน้าพบข้าศึกเสียงลั่นปืน | ||
จึ่งใช้มาเร็วไปให้รู้เหตุ | ผิดสังเกตปลุกไพร่ไว้ให้ตื่น | ||
เป็นเวลาเที่ยงนางค่ำกลางคืน | ใช่การอื่นแม้นเลินเล่อจะเผลอตัว | ||
กรมการผูกช้างให้มั่นคง | จัตุรงค์เตรียมรบอยู่ครบทั่ว | ||
ล้วนทะนงองอาจไม่หวาดกลัว | บ้างก็หัวเราะชอบจริงอยากชิงชัย | ||
สักครู่หนึ่งพอม้ากลับมาบอก | เขาจุดดอกไม้พลุประจุใหญ่ | ||
บ้านกุดจิกหนทางยังห่างไกล | จุดดอกไม้ฉลองวัดเขาศรัทธา | ||
ครั้นต่างคนตระหนักประจักษ์แจ่ม | ก็ยิ้มแย้มเกาหัวอวดตัวกล้า | ||
คิดว่าอ้ายฮ่อยกทัพวกมา | ตีกองหน้าเราไม่เว้นจักเล่นมัน | ||
ต่างคนก็คืนกลับไปหลับนอน | ครั้นทินกรพวยพุ่งรุ่งแสงสัน | ||
เสร็จเคลื่อนคลายไพร่พลพหลพลัน | เลยตะบันล่วงตำบลพ้นนิคม ฯ | ||
๏ มาถึงบ้านกุดจิกเห็นจิกต้น | นี่บุคคลใดหรือตั้งชื่อสม | ||
ไม่สนุกสนานขี้คร้านชม | ด้วยอารมณ์ฉันร้อนอาวรณ์ครวญ ฯ | ||
๏ มาถึงบ้านสลัดไดเหมือนใจพี่ | สลัดหนีสลัดนางห่างสงวน | ||
เพราะจำเป็นจำใจอาลัยนวล | ใช่จะหวนใจตัดสลัดจริง ฯ | ||
๏ มาถึงบ้านนครคำเหมือนคำพี่ | เมื่อพาทีคำพร้องกับน้องหญิง | ||
แลเหมือนคำสายสมรแม่วอนวิง | กลัวจะทิ้งน้องไว้หาใหม่เชย | ||
หล่วนสั่งแล้วสั่งเล่าเฝ้ากำชับ | ไปแล้วกลับมาดีดีหนาพี่เอ๋ย | ||
ซึ่งเมียใหม่แล้วอย่าพาลงมาเลย | แล้วภิเปรยพูดฉอ้อนวอนรำพัน ฯ | ||
๏ มาถึงบ้านโคกกรวดกรวดระดะ | ในพื้นพระธรณีงามสีสัน | ||
น้ำฝนเซาะบางเกาะเป็นหลืบลัน | เป็นชั้นชั้นน่าชมอารมณ์เฟือน ฯ | ||
๏ ถึงสระกระแบกเหมือนแบกซึ่งความรัก | เหลือจะหนักอกใจใครจะเหมือน | ||
แบกข้าวของเหลือแรงพอแบ่งเบือน | หรือวานเพื่อนช่วยแบกแยกออกไป | ||
ที่แบกรักหนักใจวางไม่ลง | เหลือจะทรงกายตั้งนั่งไม่ไหว | ||
เป็นสุดแบกความรักหนักฤทัย | ประจำใจทรวงพี่ทุกวี่วัน ฯ | ||
๏ ครั้นถึงหนองเป็นน้ำมีน้ำจิต | วิปริตแปรปรวนดูผวนผัน | ||
นกเป็ดน้ำดีเหลือหนอเนื้อมัน | ในใจฉันอยากกินด้วยยินดี | ||
ครั้นรู้สึกนึกพุทโธมโนกรรม | คิดจะทำลายสัตว์น่าบัดสี | ||
ชีวิตเขาสิเราจะย่ำยี | ของตัวมีใจรักเขาจักปอง | ||
ซึ่งคนเหล่าชาวบ้านแถวย่านนั้น | บ้างชวนกันจัดเอาซึ่งข้าวของ | ||
บ้างมันต้มจิ้มน้ำตาลใส่พานรอง | คอยนั่งมองตั้งใจให้เจ้าคุณ | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพก็รับของ | ชาวบ้านช่องนี่ก็สุดตามอุดหนุน | ||
ท่านก็แจกเงินเฟื้องต้องเปลืองทุน | ท่านทำบุญมิได้ว่างเรี่ยทางมา ฯ | ||
๏ ครั้นถึงบ้านมะขามเฒ่าโตเท่าไหน | กับทุกข์ฉันนั้นใครจะโตกว่า | ||
หรือมะขามเฒ่าชแรแก่ชรา | ฉันจ้องตามิได้ยลต้นบุราณ ฯ | ||
๏ ครั้นมาถึงเขาลาดอนาถจิต | ชำเลืองพิศดูประเทศเขตสถาน | ||
มีสวนหมากยืดยาวมะพร้าวตาล | จะเปรียบปานราชบุรณะดาวคะนอง | ||
๏ ครั้นถึงที่หยุดพักสำนักกว้าง | ก็ปลงช้างผู้คนเข้าขนของ | ||
เข้าในแต๊นท์ที่เขาทำไว้สำรอง | ยกจำลองเข้าไปวางอยู่ข้างใน | ||
พระอาทิตย์เลี้ยวลัดอัสดง | คนล้อมวงพร้อมเพรียงเรียงไสว | ||
นั่งยามตามทำนองก่อกองไฟ | พลไพร่พร้อมพรั่งอยู่คั่งคับ ฯ | ||
๏ ครั้นเช้าตรู่สุริยาส่องอากาศ | กรมการโคราชมาเป็นตับ | ||
ต่างคนก็นอบน้อมเจ้าจอมทัพ | แล้วคอยรับบัญชาพร้อมหน้ากัน | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง | ไม่ขัดข้องรังเกียจคิดเดียดฉันท์ | ||
แล้วให้เสื้อให้ผ้าพร้อมหน้าพลัน | บางคนนั้นได้แหวนแสนวิไล | ||
กรมการดีใจด้วยได้ลาภ | ต่างคนกราบนบนิ้วอยู่ไสว | ||
ครั้นสิ้นแสงสุริโยอโณทัย | ต่างคนไปที่พักสำนักตัว | ||
แรมอยู่นั้นสองวันกับสามคืน | พอคนชื่นล้าเลื่อยหายเหนื่อยทั่ว | ||
ก็เตรียมคนเตรียมช้างเตรียมต่างวัว | มาเตรียมมั่วสุมไว้ในกลางคืน ฯ | ||
๏ ครั้นวันอาทิตย์ขึ้นหนึ่งค่ำเดือนอ้าย | พระสุริยฉายส่องฟ้าขึ้นฝ่าฝืน | ||
ยกกระบัตรจัดทวนกระบวนปืน | ต่างก็ยืนคอยอยู่ทุกหมู่กอง | ||
ทัพหน้าแล้วก็มาถึงทัพขันธ์ | เข้ารวมกันประดังอยู่ทั้งสอง | ||
ปีกขวาปีกซ้ายก็จัดไว้ถัดรอง | ตามทำนองพยุหบาตรเยื้องยาตรา | ||
ล้วนทหารถือปืนยืนสะพรั่ง | ถือโล่ห์ดั้งหลาวแหลนดูแน่นหนา | ||
ปืนปื่นพื้นนกสับอันดับมา | รวมทั้งห้ากองทัพพร้อมสรรพกัน | ||
ล้วนสวมเสื้อเขียวแดงแสงระยับ | พร้อมเสร็จสรรพพหลพลขันธ์ | ||
เหล่าตัวนายขี่ช้างพลายตัวสำคัญ | ล้วนแต่กั้นสัปทนทุกคนไป | ||
ธงสำหรับนายทัพทั้งหลายนั้น | ต่างสีสันแลเป็นทิวปลิวไสว | ||
บ้างสีเขียวแดงเหลืองเรืองประไพ | บางคนใช้ต่างสีมีสำคัญ | ||
แล้วถึงกองทัพใหญ่วิไลเหลือ | ล้วนสวมเสื้อดีดีต่างสีสัน | ||
ยกกระบัตรจัดทัพอันดับกัน | ถึงธงไทยใหญ่สนั่นแดงประทาน | ||
แล้วถึงหม่อมราชวงศ์กระจ่าง | ขี่ม้าสะบัดย่างนำทหาร | ||
ดูท่วงทีเจนจัดหัดชำนาญ | ล้วนถือขวานฝรั่งทั้งกระบวน | ||
แล้วถึงปืนปะเหรี่ยมล้อเทียมลาก | คนกระชากล้อหันไปผันผวน | ||
อยู่เรียงรายข้างทางห่างพอควร | แต่แล้วล้วนปืนใหญ่ไสวตา | ||
แล้วถึงกองขุนสิทธิ์ติดกระชั้น | มีซายันคองกระบองคล่องหนักหนา | ||
ทหารแถวสองข้างหนทางมา | ล้วนถืออาวุธสิ้นดูภิญโญ | ||
แล้วถึงกอโปราลภมดูคมขำ | ขี่มานำทหารประมาณโหล | ||
คุมปืนแคทะริงกันสนั่นโต้ | มีเดโชยิ่งกว่าปืนอื่นทั้งปวง | ||
แล้วก็ถึงธงทหารสะอ้านแท้ | ถัดก็แตรขลุ่ยกลองล้วนของหลวง | ||
ยกกระบัตรจัดงามตามกระทรวง | เดินทักท้วงเตรียมตรวจทุกหมวดกอง | ||
แล้วถึงทหารอย่างยุโรปครบทหาร | งามตระการเสื้อสีไม่มีสอง | ||
ทั้งข้างแขนพู่บ่าระย้าทอง | ล้วนแต่ของใหม่ใหม่ได้ประทาน | ||
ทั้งตัวนายขี่ม้าอาชาชาติ | ดูองอาจสมกายนายทหาร | ||
ประดุจดังยังพยัคฆ์จักทะยาน | ศัตรูพานพ้องพบรบระอา | ||
ช้างน้ำมันกอโปราลเกศขี่คอ | พลายสัดอท่วงทีดีหนักหนา | ||
สวมเสื้อยศอย่างทหารประทานมา | ดูสง่าท่วงทีเห็นดีควร | ||
เหล่าทหารเดินข้างช้างเป็นแถว | แต่ล้วนแล้วถือปืนยืนอยู่ถ้วน | ||
และขุนหมื่นดาบตะพายรายกระบวน | ตามจำนวนริ้วทัพอันดับมา | ||
กระบวนช้างตั้งเชือกเป็นเทือกแถว | ถัดมาแล้วช้างเขนคเชนทร์กล้า | ||
อีกช้างทรงองค์พระปฏิมา | แล้วถึงช้างเจ้าพระยากระโจมแดง | ||
เหล่าผู้คนคั่งคับอันดับมา | ขุนบำรุงโยธาตัวเข้มแข็ง | ||
คุมขุนหมื่นเหล่าพวกเสื้อหมวกแดง | คอยเดินแซงสองข้างหนทางมา | ||
สี่เท้าช้างเจ้าคุณคือขุนรักษ์ | ขุนอินทรภักดีเนื่องอยู่เบื้องขวา | ||
ขุนนราจุมพลคนปัญญา | กับขุนราชเมธาอยู่ซ้ายมือ | ||
พวกขุนหมื่นทนายเรียงรายเดิน | ล้วนแต่เชิญสมรสเครื่องยศถือ | ||
ใส่เสื้อดำริ้วเข้มดูเต็มลือ | ล้วนขุนหมื่นมีชื่อทุกตัวนาย | ||
หลวงพิชัยเสนาสง่าเหลือ | สอดสวมเสื้อแดงสีมณีฉาย | ||
เข็มกลัดคาดสายกระบี่มีตะพาย | ขี่คอพลายประชญมารชาญศักดา | ||
กรกุมขอข้อขึงดูผึ่งผาย | แล้วยักย้ายท่วงทีดีหนักหนา | ||
ว่าที่แอดดิกงยงศักดา | เผ็นผู้รักษาแม่ทัพรบไพรี | ||
แล้วถึงช้างคุณบุตรแอดดิกง | สวมเสื้อส่งสดแสงดูแดงสี | ||
ขี่ช้างพลายโพยมกระโจมมี | ดูท่วงทีผุดผาดสะอาดตา | ||
แล้วถึงทหารหัดใหม่สไนเด้อร์ | ไม่เซอะเซ่อท่วงทีดีหนักหนา | ||
เดินในทางสองข้างมรคา | จ้างมาเป็นนายไม่ร้ายรอง | ||
แล้วถึงคุณพลอยกับคุณนิล | ดูเฉิดฉินท่วงทีดีทั้งสอง | ||
ใส่เสื้อดำสักหลาดปักคาดทอง | ดูเรืองรองรจนาโอฬาฬาร | ||
แล้วถึงช้างคุณขาวกับคุณพิน | ล้วนขี่คอทั้งสิ้นดูอาจหาญ | ||
มือจับขอยอเยื้องเปรื่องชำนาญ | ล้วนเป็นหลานแม่ทัพกำกับพล | ||
แล้วถึงกองปลัดทัพดูขับขัน | พร้อมด้วยพันพวกเหล่าชาวพหล | ||
ล้วนแต่ถือเครื่องรบครบทุกคน | เสื้อสวมตนต่างต่างสำอางตา | ||
แล้วถึงกองยกกระบัตรช่างจัดสรร | ทหารอย่างวาลันเตียซ้ายขวา | ||
ล้วนถือเครื่องอาวุธยุทธนา | ทั้งปืนผาครบเครื่องกระบวนพล | ||
หลวงภักดีขี่คอพลายจักรกรด | ถือขอจดตั้งใจไม่ฉงน | ||
ตั้งขอขึงผึ่งผายหมายประจญ | เหล่าพหลเดินทางข้างสัตว์โต | ||
ถึงกองจเรทัพอันดับมา | ทหารหน้าท่วงทีเห็นดีโข | ||
สวมเสื้อดำเฉิดฉินดูภิญโญ | ล้วนใส่หมวกกะโล่ผ้าขาวคลุม | ||
ตัวขุนสกลสารบาญจเรทัพ | ขี่คอพลายประดับแก้วโกสุม | ||
ดูผายผึ่งขึงข้อมือขอกุม | ก็ควบคุมเหล่าพหลพลฉกรรจ์ | ||
ถึงกองซีเกร็ตตอรี่ที่เสมียน | สำหรับเขียนหนังสือมือขยัน | ||
ใส่เสื้อริ้วทองสวยหมดด้วยกัน | ดูเฉิดฉันแลพิศสนิทเนียน | ||
ขุนวิสูตร์เสนีขุนศรีกระดาลพล | ทั้งสองคนขวาซ้ายนายเสมียน | ||
ตามยกกระบัตรจัดพลไม่วนเวียน | ด้วยว่าเขียนฉลากไว้ปักไม้ราย | ||
แล้วถึงท่านขุนอินทรวิเชียรชาติ | ขุนพรหมราชปัญญาโยธาหลาย | ||
ยังขุนศรภักดีมีอีกนาย | ขุนสัจจวาทีรายอยู่รวมกัน | ||
ล้วนแต่คุมทหารกองด้านใน | ขุนหมื่นไพร่ยกกระบัตรช่างจัดสรร | ||
เหล่าพหลล้นหลามมาครามครัน | ล้วนถือมั่นอาวุธยุทธนา | ||
กองหลังถัดหลวงจัตุรงค์นั้น | ขี่คอพลายกุมภัณฑ์คเชนทร์กล้า | ||
ดูท่วงทีองอาจประหลาดตา | คุมโยธากองหลังตั้งกระบวน | ||
ขุนนราฤทธิไกรผู้ใจอาจ | ขี่คอพลายสีประหลาดงามผาดผวน | ||
รูปขำคมสมทหารชำนาญทวน | เห็นสมควรท่วงทีมีศักดา | ||
ขุนพิชัยชาญยุทธ์ก็สุดใจ | ขี่คอพลายประลัยดูแกล้วกล้า | ||
สมควรเป็นกองหลังตั้งปีกกา | อยู่เบื้องขวาเบื้องซ้ายเรียงรายกัน | ||
ท่านหลวงทรงศักดาก็กล้าหลาย | ขี่ช้างพลายทองแดงเข้มแข็งขัน | ||
คุมทหารด้านนอกหอกทั้งนั้น | ถือปืนสั้นใหญ่น้อยหลายร้อยคน | ||
ซึ่งขุนสัตยากรผ่อนลำเลียง | กองเสบียงคุมกระบวนล้วนพหล | ||
ทั้งโคต่างช้างมีพร้อมรี้พล | สำหรับขนจัดจบครบกระบวน | ||
ดูนายกองนายทัพอันดับมา | พรรณนาจัดสรรไม่ผันผวน | ||
บ้างถือหอกพู่ขาวถือง้าวทวน | ถือง้าวญวนถือตรีกระบี่ยาว ฯ | ||
๏ ครั้นว่าได้พิชัยฤกษ์แล้ว | ก็คลาดแคล้วโยธีเสียงมี่ฉาว | ||
ยิงปืนฤกษ์สัญญานัยน์ตาพราว | สองหูร้าวด้วยเสียงสำเนียงปืน | ||
เสียงคนเดินราวกับเนินจะโทรมทรุด | ดั่งมหาสมุทรเกิดลมคลื่น | ||
เหล่าทหารเริงร่าเฮฮาครืน | เพียงพ่างพื้นธรณินแผ่นดินพัง | ||
ตัวฉันอยู่ท้ายช้างเหมือนอย่างเคย | เฝ้าแหงนเงยเชยชมอารมณ์หวัง | ||
ดูเรือนบ้านรายเรียงเคียงประดัง | เห็นคับคั่งคนดูอยู่ริมทาง | ||
คนแก่สาวนั่งเป็นหมู่ฉันดูทั่ว | ล้วนรูปชั่วตัวดำปี๋เหมือนผีสาง | ||
ถึงที่ขาวดูเหมือนลาวไม่สำอาง | เห็นรูปร่างป๋อหลอฉันงองัน ฯ | ||
๏ ถึงวัดแจ้งเห็นเขาแต่งประตูป่า | ไว้คอยท่ากองทัพดูขับขัน | ||
ยายมดท้าวนั่งเคียงอยู่เรียงรัน | คอยทำขวัญขับผีป่าหน้าประตู | ||
ยายคนหนึ่งตีโทนโยนจังหวะ | เสียงจ้ะจ้ะตุ้มตุ้มฟังกลุ้มหู | ||
เครื่องสังเวยเรียงรายตัวยายครู | ออกนั่งอยู่หน้าคนบ่นพึมพำ | ||
พอเจ้าคุณเดินมาถึงหน้าฉาน | กรมการเรียนตามเนื้อความขำ | ||
เชิญเจ้าคุณลงช้างอย่างบุรำ | โดยมีทำเนียมการเพศบ้านเมือง | ||
พอช้างเหยียบประทับเข้ากับเกย | เจ้าคุณมิได้เฉยค่อยย่างเยื้อง | ||
ลงนั่งที่พรมปูดูชำเลือง | เขาจะเปลื้องผีป่านั้นท่าไร | ||
ซึ่งยายมดบอกขยดให้เหยียดท้าว | เอาด้วยขาวลากฟาดตวาดไล่ | ||
แล้วผูกกรทำขวัญคุ้มกันภัย | ก็เลยให้ศีลพรบทกลอนดี | ||
เสร็จสรรพเจ้าคุณขึ้นสู่ช้าง | แล้วลีลามาในทางหว่างวิถี | ||
เข้าในประตูป่าไม่ราคี | สองข้างมีสงฆะประน้ำมนต์ ฯ | ||
๏ ถึงโพธิ์กลางสองข้างมีโรงร้าน | ขายโตกพานเชี่ยนขันและพรรณผล | ||
ทั้งของกินเครื่องใช้ฉันได้ยล | เหล่าฝูงคนนั่งดูเป็นหมู่กัน | ||
เห็นตึกทาฝาแดงทุกแห่งหน | หลังข้างบนมุงแฝกแปลกแปลกขัน | ||
ล้วนตึกดินดิบต่อมาก่อกัน | ข้างฝ่ายชั้นล่างหลังคาเขาทาดิน | ||
ชมลูกสาวชาวโคราชไม่ผาดผิว | ช่างขี้ริ้วไม่ตำหนิแกล้งติฉิน | ||
จะหายสวยสักคนไม่ยลยิน | จนหมดสิ้นย่านทางโพธิ์กลางมา ฯ | ||
๏ ถึงสามสักยักแยกมาเบื้องซ้าย | คนเรียงรายนั่งดูอยู่หนักหนา | ||
เห็นโรงผู้หญิงคนชั่วดูทั่วมา | เหมือนหญิงข่าไม่น่ารักเลยสักคน | ||
มาประเดี๋ยววกเลี้ยวซ้ายมือแว้ง | เห็นกำแพงโคราชสูงผาดโผน | ||
แม้นข้าศึกหมายจะมาประจญ | ซึ่งจะปล้นเมืองได้เห็นไม่มี | ||
ด้วยกำแพงสูงมีสักสี่วา | ดูแน่นหนาคึกคักเป็นศักดิ์ศรี | ||
ซึ่งข้างนอกกำแพงวุ้งแวงดี | ล้วนแต่มีคูรอบขอบสีมา | ||
มีเชิงดินชั้นนอกห้าศอกสูง | แม้นมีฝูงปรปักษ์เรารักษา | ||
เพียงเชิงเทินชั้นนอกออกประดา | ศัตรูอย่าเข้าไปถึงในคู | ||
เมืองโคราชกว้างใหญ่มิใช่น้อย | ข้าศึกเพียงสิบร้อยเห็นพอสู้ | ||
เมืองใหญ่โตทำไมมีสี่ประตู | หอรบอยู่ข้างบนชอบกลดี ฯ | ||
๏ ถึงทำเนียบค่ายพักสำนักอยู่ | ด่านประตูท่าน้ำทำถ้วนถี่ | ||
อยู่ริมกับอารามสามัคคี | ทำเนียบมีเขื่อนค่ายปลูกรายเรียง | ||
สำหรับเจ้าคุณมีสี่ห้าหลัง | พร้อมหอนั่งเรือกรั้วครัวเฉลียง | ||
ทิมทหารรอบล้อมดูพร้อมเพรียง | แถวระเบียงหอนั่งตั้งนอกชาน | ||
ที่ลูกทัพนายกองเสร็จเจ็ดแปดหลัง | มีพร้อมพรั่งโรงยาวเหล่าทหาร | ||
ข้างเจ้าคุณเทียบเกยไม่เลยนาน | กรมการคอยรับคำนับพลัน | ||
ทหารปืนยืนรายทั้งซ้ายขวา | ทหารหน้าหทารหลังช่างขยัน | ||
นายใหญ่บอกปรีเซนต์เป็นสำคัญ | ก็พร้อมกันยกปืนยืนคำนับ | ||
เจ้าคุณค่อยประจงลงจากเกย | แล้วก็เลยขึ้นหอนั่งยั้งสดับ | ||
กรมการพร้อมพรั่งมาคั่งคับ | นั่งคอยรับบัญชาพร้อมหน้ากัน | ||
พอหยุดพักอยู่นั่นสองวันครบ | เจ้าพระยาปรารภจะผายผัน | ||
นายทัพนายกองมาพร้อมหน้ากัน | ไปอภิวันท์เทพารักษ์เจ้าหลักเมือง | ||
พร้อมนายทัพนายกองมาซ้องแซ่ | ท่านเจ้าคุณขี่แคร่ไม้ลายเหลือง | ||
พร้อมนายทัพนายกองตามนองเนือง | เสร็จย่างเยื้องเข้าไปในประตู | ||
ครั้นถึงศาลอารักษ์พระหลักเมือง | พร้อมด้วยเครื่องบูชาไก่ปลาหมู | ||
ทั้งบายศรีซ้ายขวาน่าเอ็นดู | เสร็จแล้วบูชาเจ้าทั้งเหล้ายา | ||
แล้วเรียกคนขลุ่ยกลองกระบองควง | แกว่งบวงสรวงอารักษ์เป็นหนักหนา | ||
ทั้งต่อยมวยรำละครฟ้อนบูชา | พิณพาทย์สาธุการประสานตี | ||
ครั้นเสร็จสรรพก็กลับมาทำเนียบ | ไม่เงียบเชียบต่างเปรมเกษมศรี | ||
ฝูงพหลพลนิกายสบายดี | บห่อนมีเจ็บป่วยพร้อมด้วยกัน ฯ | ||
๏ เมื่อวันหนึ่งเจ้าคุณจึ่งออกจากหอนั่ง | พร้อมสะพรั่งนายพหลพลขันธ์ | ||
จึ่งปรึกษาไต่ถามเนื้อความพลัน | ว่าวันนั้นเข้าไปที่ในเมือง | ||
เห็นเจดีย์องค์ใหญ่ในวัดกลาง | ทำลายร้างอยากบำรุงให้ฟุ้งเฟื่อง | ||
จึงหันหน้าปรึกษาท่านเจ้าเมือง | ก็พูดเยื้องชักเชือนบิดเบือนไป | ||
เพราะว่าในเมืองนี้สุดที่คิด | ด้วยปูนอิฐไม่มีอยู่ที่ไหน | ||
เจ้าคุณฟังยุบลเป็นจนใจ | ก็มิได้ตอบความตามยุบล | ||
เจ้าพระยาจอมนิกรอาวรณ์ตรึก | การทัพศึกสารพัดจะขัดสน | ||
ไม่ทราบเรื่องหนองคายร้ายกังวล | ต้องแต่งคนไปสืบตามความระแวง | ||
จึงให้ท่านขุนวิสูตร์เสนี | นายซีเกร็ตตอรี่คนเข้มเข็ง | ||
ไปสืบการหนองคายที่ร้ายแรง | มาให้แจ้งข้อความตามกระบวน | ||
ให้ขุนพินิจนิกรนั้นไปด้วย | จะได้ช่วยกันลอบไปสอบสวน | ||
กับนายทัตคนลาวชาวเมืองพวน | รู้ถี่ถ้วนนำร่องไปหนองคาย | ||
ให้ขุนสัตยากรไปขอนแก่น | สืบให้แม่นอย่าให้เฟือนในเงื่อนสาย | ||
กับอุปฮาดไปช่วยด้วยอีกนาย | ซึ่งแยบคายขอนแก่นคงแม่นยำ | ||
เป็นอุปฮาดอยู่ก่อนเมืองขอนแก่น | ในแว่นแคว้นไล่เลียงไม่เพลียงผลำ | ||
ควรให้ไปสืบส่อเอาข้อคำ | เพราะว่าชำนาญใจในหนทาง | ||
แล้วสั่งเบิกช้างให้ใส่เสบียง | ให้พอเพียงสารพัดไม่ขัดขวาง | ||
ทั้งเงินทองจัดให้ไปใช้พลาง | กระโจมข้างเลือกคัดดูจัดเอา | ||
ขึ้นหกค่ำเดือนอ้ายห้านายนั้น | กำหนดวันที่จะไปมิได้เศร้า | ||
ออกจากที่ตนพักสำนักเนา | ไปตามเจ้าคุณบัญชาไม่ช้าวัน ฯ | ||
๏ ถึง ณ วันเดือนอ้ายขึ้นแปดค่ำ | ได้จดจำแจ้งจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
เห็นผู้คนช้างม้าลงมาพลัน | พระวิชิตณรงค์นั้นคุมฮ่อมา | ||
พวกกองทัพรู้จริงบ้างวิ่งสอ | มาดูฮ่อพร้อมพรักคนหนักหนา | ||
อ้ายพวกฮ่อใส่คอตะโหงกคา | คนรักษาเดินกลุ้มคอยคุมตัว | ||
เจ้าพวกฮ่อเหล่านี้ล้วนขี่แคร่ | เจ้าพวกลาวหามแย่ยิ่งเจ้าสัว | ||
กองทัพฝ่ายเราว่าไม่น่ากลัว | ตัวต่อตัวแล้วไม่หนีฟันตีกัน | ||
บ้างว่าฮ่อรูปนี้กระจิริด | สักสามคนก็ไม่คิดจะพรึงพรั่น | ||
ไม่มีจิตคร้ามกลัวเห็นตัวมัน | ต่างคนสันต์สรวลเสเสียงเฮฮา ฯ | ||
๏ ท่านเจ้าคุณให้ไปขอฮ่อมาถาม | ให้คนล่ามมั่นคงส่งภาษา | ||
นายเสมียนเขียนความตามบัญชา | ฮ่อหนึ่งมาให้ความตามกระบวน | ||
ว่าเป็นจีนเกิดยังเมืองกวางตุ้ง | ใจมาดมุ่งเลี้ยงชีวิตไม่ผิดผวน | ||
มาค้าขายในเขตประเทศญวน | ไปเมืองพวนแล้วเยื้องไปเมืองลา | ||
ก็หากินโดยยุติสุจริต | เลี้ยงชีวิตมุ่งหมายขายของป่า | ||
อ้ายพวกฮ่อยกทัพจับเอามา | จนเวลาทัพไทยไปเอาตัว | ||
จีนล่ามถามต่อฮ่อคนไหน | มันชี้ใส่ว่าคนนั้นไม่ผันผวน | ||
คนนั้นว่าข้าเป็นลาวชาวเมืองพวน | ให้การล้วนข้อรับจับเอามา | ||
นี่ก็เจ๊กนั่นก็ลาวชาวเมืองพวน | โน่นก็ญวนนุงนังน่ากังขา | ||
ให้ล่ามถามทั้งหมดจดวาจา | เที่ยวถามหาฮ่อคนไหนมิได้มี | ||
ก็มิได้จดจำคำทั้งหลาย | ครั้นบ่ายชายแสงพระสุริยศรี | ||
สักห้าโมงสังเกตเศษนาที | ตราพระราชสีห์มีขึ้นมา | ||
จึ่งประชุมลูกทัพนายกองพร้อม | มานั่งล้อมเรียงรายทั้งซ้ายขวา | ||
ฉันผนึกออกอ่านซึ่งสารตรา | แจ้งกิจจาโดยความตามคดี | ||
ในบังคับกองทัพให้ยับยั้ง | รอคอยฟังเหตุการณ์ตามสารศรี | ||
อยู่นครราชเสมาอย่าช้าที | แล้วห้ามมิให้เยื้องไปเมืองบน | ||
อ้ายพวกฮ่อนั้นยังก่อรังแก | หรือพ่ายแพ้สืบให้แจ้งทุกแห่งหน | ||
จักนายทัพนายกองสักสองคน | ที่ชอบกลเป็นผู้ใหญ่เข้าใจการ | ||
ไปสืบเรื่องเมืองหนองคายจะร้ายดี | ยังเหลือมีข้าศึกที่ฮึกหาญ | ||
แม้นกองทัพหลวงพระบางทางเชียงคาน | จะเข้าราญรอนประจญตำบลไร | ||
มีหนังสือรีบรัดมานัดหมาย | จงผันผายขึ้นไปช่วยด้วยจงได้ | ||
ตระเตรียมยกซึ่งพหลพลไกร | รีบขึ้นไปอย่าให้ขาดราชการ ฯ | ||
๏ เจ้าพระยาแม่ทัพสดับแจ้ง | ประดิษฐ์แต่งความตอบระบอบสาร | ||
โดยถ้วนถี่สารพัดไม่ทัดทาน | แล้วส่งเจ้าพนักงานให้ถือมา | ||
ครั้นสำเร็จเสร็จพร้อมจอมพหล | จึ่งแต่งคนนึกมองตรึกตรองหา | ||
จะได้ผู้ใดดีมีปัญญา | สืบกิจจาหนองคายเอารายงาน | ||
จะต้องทำตามดั่งข้อบังคับ | จึ่งปรึกษานายทัพนายทหาร | ||
จะได้ใครไปดีที่ชำนาญ | ไปสืบการหนองคายคือนายใด | ||
เห็นแต่ว่าพระยาพิชิตณรงค์ | ค่อยมั่นคงจะเห็นเป็นไฉน | ||
นายทัพคำนับน้อมต่างพร้อมใจ | คนอื่นไปไม่เสร็จสำเร็จมา | ||
ท่านเจ้าคุณอารีท่านมีจิต | พระยาวิชิตณรงค์นั้นหนักหนา | ||
จึ่งจัดเสบียงให้ใจเมตตา | อีกทั้งผ้าขนยาวห่มหนาวนอน | ||
พระยาวิชิตณรงค์บรรจงรับ | น้อมคำนับด้วยศิโรสโมสร | ||
แล้วหมอบราบกราบก้มประนมกร | กล่าวสุนทรโดยความตามอัชฌา | ||
ขอขุนนราฤทธิไกรนั้นไปด้วย | แม้นเจ็บป่วยได้พิทักษ์ช่วยรักษา | ||
เป็นวงศ์วานหลานชิดสนิทมา | พอเห็นหน้าเพื่อนไปในหนทาง | ||
เจ้าพระยาอนุญาตตามคาดหมาย | กล่าวอถิปรายตามสัตย์ไม่ขัดขวาง | ||
มิได้มีแหนงจิตคิดระคาง | ด้วยไว้วางใจแท้เห็นแน่นอน | ||
พระยาวิชิตณรงค์ประสงค์สม | ตามนิยมภิญโญสโมสร | ||
เสร็จจะลาคลาไคลครรไลจร | มาที่ผ่อนเคยพักสำนักตน ฯ | ||
๏ ครั้น ณ เดือนอ้ายขึ้นสามค่ำ | เป็นวันกำหนดฤกษ์เลิกพหล | ||
พระยาวิชิตณรงค์ไม่วงวน | ก็กรีพลมาดหมาดหนองคายพลัน | ||
เดินเป็นกระบวนมาหน้าทำเนียบ | ดูเรียงเรียบเหล่าพหลพลขันธ์ | ||
ขุนนราฤทธิไกรใจฉกรรจ์ | ก็ผายผันตามไปในกระบวน | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง | เสร็จส่งกองทัพขันธ์ไม่ผันผวน ฯ | ||
๏ เมื่อวันหนึ่งฟั่นเฟือนจำเคลื่อนคลาด | เจ้าเมืองอุปฮาดเข้าผายผัน | ||
เอาม้าแดงช้างดำมากำนัล | อุปฮาดเมืองสุวรรณภูมิมา | ||
หลวงสารสิทธิ์ผู้นำเข้าคำนับ | ท่านเจ้าคุณออกรับด้วยหรรษา | ||
ซึ่งช้างม้าที่มาให้ไม่นำพา | เป็นแต่ว่าขอบใจที่ให้เรา | ||
ท่านคืนช้างม้าไปให้เจ้าของ | ไม่หมายปองอยากได้ของใครเปล่า | ||
ถึงว่าของสิ่งไรท่านไม่เอา | แม้นที่เหล่าคนชอบรับตอบแทน | ||
ซึ่งกองทัพตั้งแต่มาหลายราตรี | เหล่าโยธีบ้างเป็นสุขบ้างทุกข์แสน | ||
ด้วยไข้คงติดมาในป่าแดน | ดูหนาแน่นชุกชุมตายสุมไป | ||
บางคนไม่ตายหายมีแรง | กินของผิดสำแลงก็ตักษัย | ||
บ้างกินกล้วยน้ำว้าพุทราไป | แต่พอใส่ถึงคอชักงองัน | ||
บ้างก็กินลูกสมองอก่อม้วย | บ้างกินกล้วยอ้อยแล้วอาสัญ | ||
กินของสิ้นชีวิตผิดผิดกัน | ฝูงคนบรรลัยรุมชุมสุดใจ | ||
ได้มีบัญชีนามจดตามเหตุ | คนร้อยยี่สิบเศษม้วยตักษัย | ||
ตั้งแต่ยกหมายมุ่งจากกรุงไกร | คนตายได้ร้อยเศษสังเกตจำ | ||
ซึ่งตัวฉันหฤทัยหัวใจสะท้อน | เห็นคนนอนครางอยู่ดูออกสำ | ||
คิดถึงตัวกลัวตายกายระกำ | เฝ้าแต่ร่ำโหยไห้อาลัยวอน | ||
ยามหนึ่งคิดถึงตัวกลัวความไข้ | ยามสองให้คะนึงถึงสมร | ||
ยามสามคิดรำคาญถึงมารดร | ยามสี่นอนคิดถึงญาติแทบขาดใจ | ||
เป็นอย่างนี้เจียวฉันทุกวันคืน | บ่มีชื่นเศร้าหมองไม่ผ่องใส | ||
โศกถึงมิตรคิดถึงญาติแทบขาดใจ | เหลือหทัยที่ทุกข์คงจุกตาย | ||
แสนระกำช้ำกายเสียดายโฉม | เสียดายเชยเคยประโลมไม่ห่างหาย | ||
ไม่ห่างเหเสน่ห์นุชจะหยุดอาย | จะหยุดเว้นเป็นอย่าหมายว่าจักมี | ||
ว่าจะม้วยเสียด้วยเพราะความเศร้า | เพราะความโศกโรคเร้าหม่นหมองศรี | ||
หม่นหมองทรวงโอ้แม่ดวงสุมาลี | สุมาลัยของพี่อย่าไกลตา | ||
อยู่ใกล้ตัวเพราะผัวมาห่างห้อง | มาห่างเห็นเว้นน้องไห้โหยหา | ||
ไห้โหยหวนครวญคร่ำไม่นำพา | ไม่น่าพึ่งหนึ่งว่าจำใจจร | ||
โอ้อกเอ๋ยเคยแอบประคองอุ่น | หอมกลิ่นกรุ่นสาเรแก้วเกสร | ||
เสียดายดวงพวงพุ่มอุทุมพร | มาไกลกรมิได้กอดประคองเชย | ||
สงสารสร้อยเสาวคนธ์จะมลหมอง | จะเฝ้าร้องไห้หานิจจาเอ๋ย | ||
ใครจะช่วยปลอบปลื้มให้ลืมเลย | เหมือนพี่เคยประคองน้องนิทรา | ||
เวลาดึกตรึกตรองถึงน้องสาว | อนาถหนาวเนื้อหนังเย็นมังสา | ||
เมืองโคราชเหลือล้นพ้นปัญญา | หนาวยิ่งกว่าบางกอกยอกทั้งตัว | ||
ห่มผ้าปิดเหมือนหนึ่งว่าห่มผ้าเปียก | มันเย็นเยียกหนาวยวดจนปวดหัว | ||
หนาวอัปรีย์หนาวระยำพอค่ำมัว | มันเย็นทั่วสารพางค์นอนครางฮือ | ||
ต้องสวมเสื้อสามชั้นไว้กันหนาว | ทั้งถุงเท้าเกือกซื้อลงนอนซื่อ | ||
กางเกงสามชั้นนุ่งสวมถุงมือ | ตัวหนักตื้อหมวกผ้าปิดหน้าตึง | ||
แต่อย่างนั้นไม่กันความหนาวได้ | มันหนาวในตับปอดตลอดถึง | ||
ผ้าห่มสุมคลุมซ้อนนอนตะบึง | คิดรำพึงใจอนาถไม่คลาดคลาย | ||
[กลอนตรงนี้สัมผัสขาด] | |||
ถ้ารู้ที่ว่าไม่มีข้าศึกรบ | คงหาครบซื้อสรรค์เครื่องกันหนาว | ||
หมายจะได้ชิงชัยกันใหญ่ยาว | จนถึงคราวฉุกเฉินคิดเกินไป | ||
ด้วยกลัวว่าผ้าเสื้อจะเหลือมือ | จึ่งหาซื้อจัดหาเอามาไม่ | ||
ถ้าแม้นว่ารู้แท้เป็นแน่ใจ | ว่าพวกไอ้สลัดบกมันยกมา | ||
เที่ยวปอกลอกทองพระไปถลุง | การรบพุ่งห่สู้จักจะหนักหน้า | ||
ซึ่งเครื่องหนาวสารพัดได้จัดมา | ไม่ซื้อหาก็เพราะการประมาณเกิน | ||
บุญคุณคิดขุนสนิทอักษรนุ่ม | ให้เครื่องคุ้มกันหนาวเมื่อคราวเฉิน | ||
ขอให้เขาสวัสดีมีจำเริญ | สรรเสริญคุณเขาทุกเช้าเย็น | ||
ป้องกันหนาวนอกเนื้อเขาเกื้อหนุน | เพราะบุญคุณพ่อนุ่มพอคุ้มเข็ญ | ||
แต่น้ำจิตมิได้วายคลายลำเค็ญ | บ่วางเว้นมีสุขเฝ้าทุกข์ทน ฯ | ||
๏ ฝ่ายเจ้าพระยาแม่ทัพเมื่อยับยั้ง | ท่านก็ตั้งปรารถนาหากุศล | ||
ด้วยศึกเสือนั้นไม่มีพักรี้พล | ชักชวนคนก่อสร้างทางนิพพาน | ||
เจดีย์ใหญ่วัดกลางร้างชำรุด | ยังโทรมทรุดล้มทอดตลอดฐาน | ||
ไม่มีใครศรัทธาล้มมานาน | จะประมาณนับยิบหลายสิบปี | ||
ท่านเจ้าคุณมีใจอยากใคร่สร้าง | พระเจดีย์วัดกลางเป็นศักดิ์ศรี | ||
จะซื้ออิฐปูนใครที่ไหนมี | ไม่รู้ที่แห่งหนตำบลเลย | ||
ท่านก็เที่ยวสืบถามตามชาวบ้าน | ด้วยหวังการจริงจริงไม่นิ่งเฉย | ||
เฝ้าสืบเสาะหาแห่งตำแหน่งเคย | ท่าภิเปรยถามไถ่มิได้วาย | ||
จิตศรัทธาอาจิณไม่สิ้นสูญ | ครั้นอิฐปูนได้สมอารมณ์หมาย | ||
มีผู้มาบอกแจ้งไม่แพร่งพราย | ว่ามากหลายบริบูรณ์อิฐปูนมี | ||
อยู่ถึงทางหนองกะบกวัดโคกพรม | อิฐเผารมแก่ไฟงานมได้สี | ||
เจ้าคุณทราบระบิลแสนยินดี | จึงป่าวร้องโยธีทุกหมวดกอง | ||
บอกคุณเหล่าพหลไปขนอิฐ | ต่างคนคิดยินดีไม่มีหมอง | ||
คานสาแหรกจัดไว้ใส่สำรอง | ต่างคนปองเอาบุญไม่ขุ่นเคือง ฯ | ||
๏ ครั้นแรมสิบสามค่ำ ณ เดือนอ้าย | เวลางายสุริยาส่องฟ้าเหลือง | ||
พวกกองทัพโห่ร้องไปนองเนือง | ทั้งชาวเมืองพลอยไปอยากได้บุญ | ||
บ้างก็หาบก็หามตามถนัด | ล้วนแต่ศรัทธาชื่นทั้งหมื่นขุน | ||
ไม่ว่าไพร่ผู้ดีมีสกุล | ชุลมุนแบกอิฐไม่คิดอาย | ||
พวกกองทัพชาวเมืองขนเนืองแน่น | ยกอิฐแผ่นใส่บ่าแบกหน้าหงาย | ||
ล้วนแต่งตัวกรุ้งกริ้งทั้งหญิงชาย | ทั้งสาวแส้แม่หม้ายก็มีมา | ||
ล้วนแต่งตัวอ่าอวดประกวดกัน | ห่มสีสันสุกแสงออกแดงจ้า | ||
ทั้งพระเถรเณรชีมีศรัทธา | สู้อุตส่าห์ขนอิฐน้ำจิตทน | ||
ทั้งเกวียนล้อโคลากไปมากหลาย | ดูเรียงรายเต็มหลามตามถนน | ||
ทั้งแรงโคแรงควายนิกายพล | ไปหาบขนอิฐแผ่นแน่นหนทาง | ||
ล้วนสรวลสันต์บันเทิงระเริงรื่น | เฮฮาครืนมิได้อายระคายหมาง | ||
ทั้งเจ๊กไทยมอญลาวสาวสำอาง | ขนอิฐมาวัดกลางดูเกรียวกราว | ||
คนชาวเมืองพร้อมใจทั้งไทยจีน | ออกทรัพย์สินซื้ออาหารข้าวสารขาว | ||
ต้มเลี้ยงคนขนอิฐด้วยคิดยาว | ทั้งของคาวหวานเค็มเต็มศรัทธา | ||
สองวันเสร็จลงมือรื้อจับขุด | ด้วยของเก่าชำรุดอยู่หนักหนา | ||
พบกรุซึ่งบรรจุของนานา | ทั้งรูปพระปฏิมาเงินทองคำ | ||
จึงเอาพระเงินทองของบุราณ | มอบให้พระอธิการอุปถัมภ์ | ||
จงเก็บให้มิดชิดปกปิดงำ | แล้วให้ทำที่กรุบรรจุลง ฯ | ||
๏ เจ้าพระยาจอมทัพจะจับงาน | แล้วตรึกการโดยจิตคิดประสงค์ | ||
ในบาลีมีตามเนื้อความตรง | พระพุทธองค์บัญญัติอธิบาย | ||
ว่าผู้ใดจะสร้างทางกุศล | ไม่ป่าวร้องฝูงคนสิ้นทั้งหลาย | ||
แม้นว่าใครศรัทธาเอกากาย | ไม่ป่าวร้องหญิงชายประชาชน | ||
ได้แต่โภคสมบัติพัสถาน | บริวารสมบัตินั้นขัดสน | ||
แม้นป่าวร้องนำจูงเหล่าฝูงคน | บันดาลดลพบพ้องสองศฤงคาร | ||
ท่านคิดเห็นโดยงามตามทำนอง | จึ่งป่าวร้องทั่วประเทศเขตสถาน | ||
ราษฎรชาวนิคมกรมการ | จังหวัดบ้านเมืองโคราชประหาศไป | ||
ให้ปราศจากอามิสมาติดเทียน | ตามทำเนียมโดยศรัทธาอัชฌาสัย | ||
กำหนดนัดความแจ้งไม่แคลงใจ | ให้มาในวัดกลางสร้างศรัทธา ฯ | ||
๏ ครั้นวันขึ้นสิบสิงค่ำจำคดี | ในเดือนยี่สัจจังไม่กังขา | ||
ตะวันบ่ายชายแสงพระสุริยา | เป็นเวลากำหนดที่จะมีการ | ||
ฝ่ายท่านเจ้าพระยาจอมพหล | เชิญพระทนต์พระจอมเกล้าเจ้าสถาน | ||
พร้อมด้วยเหล่ากระบวนแห่แลละลาน | ไปมีงานสมโภชใหญ่ในวัดกลาง | ||
นิมนต์สงฆ์ทั่วประเทศเขตนคร | มาสดับปกรณ์ตามแบบอย่าง | ||
เหล่าพระสงฆ์ดีใจไม่ระคาง | ถึงหนทางไกลนั้นไม่พรั่นพรึง | ||
พระชราฐานาสมภารวัด | ก็แต่งจัดเหล่าพระครูไว้หมู่หนึ่ง | ||
ถวายปัจจัยถ้วนล้วนตำลึง | พระสงฆ์ซึ่งลูกวัดไว้ถัดรอง | ||
ถวายปัจจัยงามตามทำเนียม | พระสงฆ์เปี่ยมยินดีไม่มีสอง | ||
นิมนต์หมดบ้านเมืองมาเนืองนอง | ได้รับของไทยทานสำราญใจ ฯ | ||
๏ ฝ่ายเจ้าจอมโยธามีปราโมทย์ | ท่านสมโภชพระทนต์พ้นวิสัย | ||
จัดเหล่าพวกกองทัพโดยฉับไว | มาเล่นโขนโรงใหญ่ได้อย่างดี | ||
พร้อมทั้งเครื่องเรืองรองทองระยับ | สร้างเสร็จสรรพงามงดแสงสดสี | ||
ทั้งโรงโขนใหญ่ปลูกผูกคิรี | โตยาวมีกว้างขวางสำอางตา | ||
โขนเล่นเรื่องก่อนวันนอนโรง | เล่นพิธีอุโมงค์ดีหนักหนา | ||
ครั้นว่าดึกสองยามตามสัญญา | ก็เลิกลาโรงกลับมาหลับนอน ฯ | ||
๏ ครั้นว่ารุ่งสุริยาท้องฟ้าแดง | ก็เตรียมแต่งกระบวนแห่แลสลอน | ||
เชิญพระบรมทนต์เสร็จเสด็จจร | ไปสดับปกรณ์อีกเวลา | ||
โขนก็เล่นตามเรื่องแต่เบื้องหลัง | เมื่อวิรุญจำบังออกอาสา | ||
พวกคนดูพรูพรั่งประดังมา | คนชราแก่สาวมากราวกรู | ||
ชาวบ้านนอกขอกนามาออกฮือ | แจ้งข่าวลือแน่ใจไม่ไขหู | ||
หนทางเดินสองคืนตื่นมาดู | เพราะไม่รู้จักโขนโยนอย่างไร | ||
คนชราอายุเจ็ดสิบเลย | ยังไม่เคยดูเห็นเป็นไฉน | ||
บ้างหาเสบียงอาหารด้วยบ้านไกล | ล้วนตั้งใจมาดูออกกรูเกรียว | ||
ล้วนสาวสาวชาวป่าก็มาสิ้น | ทาขมิ้นล้นเหลือจนเนื้อเขียว | ||
อยากดูโขนอย่างยิ่งจริงจริงเจียว | บ้างจูงเหนี่ยวลูกหลานมาลานลน | ||
สัปปุรุษคั่งคับออกทรัพย์สิน | ติดข้าวบิณฑ์เบี้ยศรัทธาหากุศล | ||
เข้าส่วนสร้างพระเจดีย์ตามมีจน | ออกสับสนตั้งจิตมาติดเทียน | ||
ครั้นเล่นโขนถ้วนตามครบสามวัน | รวมเงินพันบาทมีบัญชีเขียน | ||
สัปปุรุษมาพร้อมน้อมจำเนียร | เงินติดเทียนที่วัดล้วนศรัทธา | ||
จึงได้เงินพันบาทยังขาดไป | พระเจดีย์องค์ใหญ่เป็นหนักหนา | ||
แต่โดยสูงถึงเส้นนับเป็นวา | เจ้าพระยาจอมทัพรับออกทุน | ||
แม้นเงินใช้ไม่พอก่อเจดีย์ | ท่านรับเป็นกงสีออกเกื้อหนุน | ||
สร้างเจดียฐานเป็นการบุญ | ท่านเจ้าคุณรับสำเร็จโดยเสร็จการ ฯ | ||
๏ แรมสิบเอ็ดมิได้เคลื่อนในเดือนยี่ | ขุนวิสูตรเสนีสืบข่าวสาร | ||
ที่ไปเมืองหนองคายเอารายงาน | แจ้งราชการข่าวทัพแล้วกลับมา | ||
เขากราบเรียนพณะหัวจอมพหล | โดยเหตุผลที่สัจจังไม่กังขา | ||
แล้วนำคนชาวเวียงชื่อเชียงทา | เป็นหลวงราชรักษาสุเรนทร | ||
ท่านเจ้าคุณออกยังหอนั่งรับ | เหล่านายทัพพร้อมพรั่งนั่งสลอน | ||
ทั้งกรมการนายทัพคำนับกร | หลวงราชสุเรนทรก็ให้การ | ||
ว่าเดิมพวกอ้ายฮ่อมาก่อเหตุ | ในประเทศราชทำอาจหาญ | ||
ทั้งจีนลาวญวนสมทบเข้ารบราญ | คนประมาณหลายร้อยไม่น้อยตัว | ||
เหล่าพวกลาวยั่นฮ่อไม่ต่อสู้ | ต้องเข้าทูเงินเสียทั้งเมียผัว | ||
ที่ไม่มีเงินให้มีใจกลัว | เหมือนควายวัวยอมให้ฮ่อใช้การ | ||
อ้ายฮ่อเก็บเงินทั่วทุกครัวลาว | เรือนละเก้าหกเจ็ดตำลึงหวาน | ||
ฮ่อเขียนหนังสือให้ใส่กระดาน | เรียงว่าไม้บางบ้านสำหรับตัว | ||
พวกฮ่อเห็นหนังสือลงชื่อเขียน | ไม่เบียดเบียนคิดยั่นมันสั่นหัว | ||
ไม่คุมเหงคะเนงร้ายเกรงนายกลัว | ตลอดทั่วบ้านลาวพวกเข้าทู | ||
อ้ายพวกฮ่อเรียงรายตั้งค่ายมั่น | ย่อมแข็งขันยิ่งยวดเป็นหมวดหมู่ | ||
ไม้ระเนียดเรียงรายทำค่ายคู | มันตั้งอยู่มากมายหลายตำบล | ||
ราชบุตรหนองคายนั้นใช้ข้า | ไปสืบซึ่งกิจจาเอาเหตุผล | ||
ข้าก็จะสืบตามไปสามคน | ลอบไปจนแจ้งความตามกระบวน | ||
กลับมาบอกอุปฮาดราชบุตร | จนสิ้นสุดที่ได้ลอบไปสอบสวน | ||
บัดนี้ทัพอ้ายฮ่อที่ก่อกวน | มันเกือบจวนยกปองมาหนองคาย | ||
ในวันนั้นคืนนั้นมันจะมา | ซึ่งตัวข้ารู้หมดกำหนดหมาย | ||
ราชบุตรรู้แจ้งไม่แพร่งพราย | เกณฑ์พหลพลนิกายหัวเมืองมา | ||
เกณฑ์คนเก้าร้อยไว้ไม่ได้ครบ | ได้พลรบสามร้อยน้อยหนักหนา | ||
ราชวงศ์ราชบุตรสุดปัญญา | ก็ตรึกตราการสู้หมู่ไพรี | ||
ครั้นลาวมากอยู่ข้างฟากเวียงจันท์เก่า | ต้อนให้เข้าเมืองหนองคายกลัวนายหนี | ||
แล้วเก็บชายฉกรรจ์บรรดามี | แล้วซ้อมสีข้าวลำเลียงเสบียงพล | ||
บ้านละสิบหยิบเอาห้ารักษาครัว | ล้วนมีตัวส่งลำเลียงเลี้ยงพหล | ||
ราชบุตรจัดโยธีที่มีตน | แล้วยกพลข้ามฟากไปปากทาง | ||
ตั้งคอยรับทัพฮ่อไม่ย่อยั่น | หาที่มั่นตั้งท่าปีกกากว้าง | ||
จัดคนรักษาการในด่านทาง | แล้วไว้วางกองซ่อนคอยรอนราญ | ||
ครั้นเดือนแปดแรมสี่ค่ำได้จำข้อ | พวกอ้ายฮ่อพร้อมพรักเข้าหักหาญ | ||
ได้รบราฆ่าฟันประจัญบาน | ลาวต้านทานทัพฮ่อไม่รอรา | ||
ราชวงศ์ยกหลีกตีปีกซ้าย | ราชบุตรยักย้ายตีปีกขวา | ||
พวกอ้ายฮ่อยิงปืนโครมครืนมา | ช้างพลายกล้าต้องปืนวิ่งตื่นไป | ||
คือว่าช้าวผู้ช่วยเมืองหนองคาย | เป็นน้องชายราชบุตรฉุดไม่ไหว | ||
ช้างพลายกล้าต้องปืนตื่นตกใจ | ลงขอไม่ยั่งยืนตื่นกระจาย | ||
ซึ่งกองทัพราชบุตรไม่หยุดแยก | ก็วิ่งแตกหลบลี้บ้างหนีหาย | ||
เหล่าไพร่พลซานซมบ้างล้มตาย | ก็แตกพ่ายหนีฮ่อไม่ต่อกร | ||
ทัพฮ่อบากละจากราชบุตร | เข้ายงยุทธราชวงศ์ตรงไม่ถอน | ||
อาวุธสั้นเข้ารุมตะลุมบอน | ฮ่อตีต้อนล้อมรอบเป็นขอบคัน | ||
กองราชวงศ์เจ้าเมืองหงสาสถิต | สิ้นชีวิตสูญชีวาถึงอาสัญ | ||
ตายอยู่ในที่รบได้พบกัน | ไพร่พลนั้นล้มตายวายชีวี | ||
ราชวงศ์เหลือกำลังก็พังแยก | ลาวตื่นแตกข้ามลำแม่น้ำหนี | ||
พลลาวยั่นพรั่นฮ่อไม่ต่อตี | ต่างหลบหนีข้างของมาหนองคาย | ||
ราชบุตรสุดท้ออ้ายฮ่อมาก | จะข้ามฟากมาได้ดั่งใจหมาย | ||
ไพร่พลเรายับย่อยเหลือน้อยกาย | จึ่งยักย้ายผ่อนครัวทั่วทุกกอง | ||
มาพักไว้หนองหาญติดการต่อ | แต่งคนยอกำลังเมืองทั้งสอง | ||
ให้มาช่วยสงครามตามทำนอง | ได้รับรองทัพฮ่อพอประทัง | ||
ครั้นได้ทัพขอนแก่นเมืองภูเวียง | มาพร้อมเพรียงโดยสมอารมณ์หวัง | ||
ราชบุตรดีใจได้กำลัง | จึงคิดตั้งรักษาอยู่หน้าเมือง | ||
แล้วต้อนครัวลาวที่หนีเข้าป่า | ให้เข้ามาคืนถิ่นเสร็จสิ้นเรื่อง | ||
ราชบุตรจัดการในบ้านเมือง | มิให้เคืองขุ่นใจแก่ไพร่พล ฯ | ||
๏ ครั้นเจ้าเมืองหนองคายผายผันกลับ | ถึงเสร็จสรรพโยธาเหล่าพหล | ||
กลับมาแต่ฝ่ายเบื้องเมืองอุบล | ก็จัดคนขึ้นรักษาหน้าเชิงเทิน | ||
พวกหนึ่งถูกให้ไปปลูกทำเนียบคอย | ที่ทุ่งโพนช้างน้อยการฉุกเฉิน | ||
รับพระยามหาอำมาตย์ไม่ขาดเกิน | การไม่เนิ่นจวนเวลาไม่ช้านาน | ||
แล้วขับต้อนลาวครัวทั่วทั้งสิ้น | ให้คืนถิ่นตามตำแหน่งแห่งสถาน | ||
มาสีข้าวไว้อย่าขาดราชการ | ทำข้าวสารมามายไว้จ่ายคน | ||
เมื่อวันหนึ่งพระยามหาอำมาตย์ | หัวเมืองอื่นดื่นดาษมาสับสน | ||
เสร็จถึงเมืองหนองคายพร้อมนายพล | ออกเกลื่อนกล่นพร้อมพรั่งไพร่คั่งคับ | ||
ราชบุตรราชวงศ์เมืองหนองคาย | ต่างผันผายมาฟังสั่งสดับ | ||
ยังพระยามหาอำมาตย์ท่านแม่ทัพ | มาคำนับให้แจ้งที่แคลงใจ | ||
ข้างท่านพระยามหาอำมาตย์ | จึ่งถามราชบุตรตามความสงสัย | ||
ซึ่งรบฮ่อปากทางนั้นอย่างไร | มึงจึงได้แตกมาดูน่าอาย | ||
ไม่คุมพี่ป้าน้าสาวและอาวอา | จงก้มหน้าสิ้นชีวิตอย่าคิดหมาย | ||
ตั้งปรับโทษทัณฑ์มึงให้ถึงตาย | แล้วส่งนายเพชฌฆาตให้ฟาดฟัน | ||
ตัดหัวเสียบประจานร่าไว้หน้าเวียง | แม้นใครดูอย่างเยี่ยงต้องอาสัญ | ||
ครั้นรุ่งขึ้นหลายเวลาสี่ห้าวัน | ก็เตรียมกันพร้อมไว้เหล่าไพร่พล | ||
จึ่งเข้าเมืองหนองคายใช้ให้ข้า | สืบกิจจาให้แจ้งแห่งนุสนธิ์ | ||
ข้าก็ไปสืบความพร้อมสามคน | เข้าไปจนค่ายวัดจันไม่พรั่นพรึง | ||
ให้ทิดลุนขึ้นบนต้นน้อยแหน่ | เห็นพวกฮ่อซ้อแซ้บ้างนอนขึง | ||
บ้างสูบฝิ่นเล่นไพ่ใส่กันอึง | ข้าเจ้าจึ่งแอบดูเหล่าผู้คน | ||
พวกอ้ายฮ่อไม่รักษาอยู่หน้าที่ | ล้วนแต่ขี้เซาหลับอยู่สับสน | ||
ไม่เป็นเยี่ยงอย่างทัพกำกับพล | ดูชอบกลผิดในพิชัยสงคราม | ||
อ้ายพวกฮ่อปองปองทองพระพุทธ | พระเจดีย์มันก็ขุดทำหยาบหยาม | ||
ข้าพเจ้าลอบดูครั้นรู้ความ | กลับมาตามฝั่งน้ำคืนค่ำมัว | ||
เห็นเรือฮ่อทิ้งทอดจอดอยู่ท่า | ไม่มีผู้รักษาทั้งท้ายหัว | ||
จอดอยู่ชิดชิดกันไม่พันพัว | แลดูทั่วเรียงรายหลายสิบลำ | ||
ข้าพเจ้าจึ่งแฝงเฝือตัดเรือปล่อย | เรือก็ลอยตามละลอกแลออกลำ | ||
ด้วยค่ายไทยคับคั่งตั้งประจำ | อยู่ใต้น้ำตัดเรือปล่อยลอยลงไป | ||
ครั้นสืบการเสร็จสรรพข้ากลับมา | พระยาประทุมเทวาก็ถามไถ่ | ||
ข้าให้การทุกสิ่งตามจริงใจ | ตามที่ได้ยินแก่หูรู้แก่ตา ฯ | ||
๏ ครั้นกองทัพหัวเมืองถึงพร้อมหมด | จึ่งกำหนดการศึกคิดปรึกษา | ||
จะใคร่ตีค่ายฮ่อต่อศักดา | ทั้งด้านหน้าด้านในจัดไพร่พล | ||
กองพระพรหมยกกระบัตรเมืองโคราช | นั้นองอาจกำลังหนุ่มคุมพหล | ||
ไปตีค่ายสี่สถานริมชานชล | จัดแจงคนฉุกเฉินไม่เนิ่นนาน | ||
สมทบกองทัพลาวและท้าวเพี้ย | มิได้เปลี้ยใจพลั่นคิดหยันหย่อน | ||
แต่ล้วนคนชำนาญเคยราญรอน | เหล่านิกรโยธีเคยมีชัย | ||
ตัวพระยามหาอำมาตย์เป็นแม่ทัพ | นั้นก็รับด้านหน้าท่าน้ำไหล | ||
จะตีทัพเรือกระทบรบเข้าไป | จัดแจงไว้เสร็จตามโดยความควร ฯ | ||
๏ ครั้นเดือนสิบเอ็ดขึ้นค่ำนัดกำหนด | พร้อมทั้งหมดเตรียมกันไม่ผันผวน | ||
ตัวพระพรหมยกกระบัตรจัดกระบวน | ยกทัพสวนเข้าไปล้อมรบพร้อมกัน | ||
เข้าตีค่ายสี่สถานทหารแยก | รบฮ่อแตกทิ่งค่ายหนีผายผัน | ||
อ้ายฮ่อหนีเข้าในค่ายวัดจัน | ทัพไทยไล่กระชั้นติดตามมา | ||
ซึ่งพระยาโคราชไม่หวาดไหว | ตีค่ายใหญ่สี่สถานหาญหนักหนา | ||
อ้ายพ่อฮ่อย่อยยับจึ่งกลับมา | ต่างหนีพากันไปค่ายวัดจัน | ||
กองพระยาโคราชก็อาจหาญ | เข้าล้อมด่ายใต้รบดูขบขัน | ||
กองพระพรหมยกกระบัตรก็จัดกัน | ล้อมตั้งมั่นด่านเหนือเห็นเหลือดี | ||
พระยายกกระบัตรจัดคนเข้าปล้นค่าย | พังทลายฮ่อแหกแตกวิ่งหนี | ||
เข้าในโบสถ์วัดจันด้วยทันที | ประตูมีมันก็ปิดคิดอุบาย | ||
รื้อกระเบื้องขึ้นบนฝ้าหลังคาโบสถ์ | มันยิงปืนลูกโดดพิฆาตหมาย | ||
มาถูกกองทัพไทยขาดใจตาย | ต้องทำค่ายระเนียดตั้งบังลูกปืน | ||
กองทัพไทยพรั่งพร้อมล้อมอ้ายฮ่อ | ไม่ย่นย่อตั้งหน้าเข้าฝ่าฝืน | ||
เหล่าพวกพลโห่โหมเสียงโครมครืน | ล้วนแต่พื้นพลรอบขอบกำแพง | ||
ทั้งทัพไทยลาวเข้าล้อมอยู่พร้อมเพรียง | อยู่จนเที่ยงสุริยาส่องจ้าแสง | ||
เห็นเรือแหยบหลังกันยาหุ้มผ้าแดง | ข้ามพายแซงจอดยังฝั่งชลา | ||
สักครู่หนึ่งกลับเรือเมื้อสำนัก | ไม่ประจักษ์ว่าผู้ใดใจกังขา | ||
ข้าจึ่งถามพลไพร่เรือใครมา | เห็นหลังคาแดงฉาดประหลาดใจ | ||
เขาบอกว่าเรือพระยามหาอำมาตย์ | ข้าหลวงราชพิศวงไม่สงสัย | ||
ครั้นว่าค่ำสุริโยอโณทัย | ฝนตกใหญ่พรมพรำในค่ำคืน | ||
พวกอ้ายฮ่อเปิดโบสถ์กระโดดหนี | แผลงฤทธีแกล้วกล้าฟันฝ่าฝืน | ||
กองทัพไทยไล่วิ่งบ้างยิงปืน | อ้ายฮ่อตื่นหนีได้ทั้งไพร่นาย | ||
พระยายกกระบัตรจัดไพร่ตามไปจับ | ได้รบรับฮ่อแหกวิ่งแตกหาย | ||
บ้างจับได้ตัวเป็นที่เดนตาย | ทั้งหญิงชายกองทัพจับมาตาม | ||
ทั้งทองลิ่มเงินตราเครื่องอาวุธ | ทั้งปืนชุดหอกดาบเก็บหาบหาม | ||
ทั้งม้าเมียม้าผู้ดูงามงาม | ทำสงครามมีชัยจับได้มา | ||
ต่างมอบให้้พระยามหาอำมาตย์ | ของประหลาดมากจริงหลายสิ่งสา | ||
เสมียนทำบัญชีมีบรรดา | ทั้งเงินตราข้าวของทองตระการ | ||
พวกนายทัพต้องรับสาบานบอก | ว่ามิได้ยัยอกพัสถาน | ||
ต่างคนกระทำสัตย์ปฏิญาณ | ก็สิ้นคำให้การความสัตย์จริง ฯ | ||
๏ เจ้าพระยาจอมทัพสดับชัด | ให้เสมียนเขียนคัดสั่งนายสิ่ง | ||
ระดมเสมียนมาอย่าประวิง | เขียนอย่าทิ้งตกซ้ำคำให้การ | ||
ครั้นสำเร็จเสร็จส่งลงบางกอก | กับใบบอกเมืองลาวแจ้งข่าวสาร | ||
ซึ่งในเมืองหนองคายทราบรายงาน | ซุ่งภัยพาลมิได้มีไพรีรอน | ||
ส่งไปกราบทูลพระกรุณา | ตามเลขาลายจำหลักคำอักษร | ||
กรมการรับหมดบทจร | จากนครราชสีมาเร่งคลาไคล ฯ | ||
๏ ครั้นเดือนยี่แรมแปดค่ำมีกำหนด | ได้จำจดมั่นคงไม่สงสัย | ||
พอท้องตรามาถึงอีกนึ่งใบ | พลไพร่บันเทิงเริงสำราญ | ||
หมายใจว่าท้องตราให้หากลับ | คนกองทัพปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | ||
ด้วยหนองคายวายศึกนึกประมาณ | ไม่มีการคงหาทัพกลับนคร | ||
เหล่าไพร่พลกองทัพมาคับคั่ง | อยากจะฟังท้องตราหน้าสลอน | ||
เหมือนสัตว์นรกหมกไหม้ในไฟฟอน | ที่รนร้อนเหลือกำลังประทังตน | ||
เหมือนเห็นพระมาลัยเสร็จเสด็จมา | ปรารถนาจะให้โปรดประโยชน์ผล | ||
สัตว์นรกวิ่งแซ่มาแจจน | เหมือนไพร่พลกองทัพที่คับใจ | ||
ครั้นฉีกผนึกออกอ่านซึ่งสารตรา | บังคับมาความแจ้งแถลงไข | ||
ว่าเมืองหนองคายนี้ไม่มีอะไร | สิ้นจากภัยอ้ายฮ่อมาก่อกวน | ||
แต่ว่าทางเมืองเหนือยังเหลือหลอ | ยังมีฮ่อแว่นแคว้นแดนเสฉวน | ||
มาตั้งค่ายรายเนื่องอยู่เมืองพวน | เขตแดนญวนมากมายหลายตำบล | ||
แล้วให้เจ้าพระยามหินทร์เคาน์ซิลลอร์ | ให้พักรอทัพตั้งฟังนุสนธิ์ | ||
ให้รวบรวมพร้อมไว้เหล่าไพร่พล | จงปรือปรนตั้งใจระไวระวัง | ||
แม้นทัพเจ้าพระยาภูจะจู่โจม | เข้าหักโหมชิงชัยเหมือนใจหวัง | ||
มีหนังสือมาขอต่อกำลัง | อย่ารอรั้งรีบยกทัพบกไป | ||
อย่าคอยฟังท้องตราจะช้าเนิ่น | การฉุกเฉินอย่าพะวงคิดสงสัย | ||
จงรีบยกขึ้นไปช่วยด้วยไวไว | เป็นอย่าให้เสียขาดราชการ ฯ | ||
๏ อ่านท้องตราสำเร็จจบเสร็จสรรพ | พวกกองทัพที่มาฟังนั่งขนาน | ||
ต่างคนต่างรู้จะอยู่นาน | ต้องทรมานทรมาคิดอาวรณ์ | ||
ต่างคนโศกเศร้าบ้างเหงาหงอย | ล้วนหน้าจ๋อยเสียใจฤทัยทอน | ||
ซึ่งตัวฉันแจ้งใจดังไฟฟอน | ตามลมร้อนอยู่ในใจรำคาญ ฯ | ||
๏ เดือนยี่แรมสิบเอ็ดค่ำจะร่ำเรื่อง | บ้านเจ้าเมืองเหลือสนุกโกนจุกหลาน | ||
พี่นี้จะดูเขาทำน่ารำคาญ | เสมือนการมหรสพครบลำเนา | ||
ปลูกเขาไกรลาสใหญ่ที่ในสระ | มีที่พระสวดมนตร์บนภูเขา | ||
สี่สิบองค์สวดสำเนียงเสียงไม่เบา | ที่บนเหย้าบนเรือนสวดเหมือนกัน | ||
มีขารำสำเหนียกเรียกกะแจะ | ตบมือแปะทะลึ่งโลดกระโดดขัน | ||
เจ้าผู้ชายรำล่อดูงองัน | พิณพาทย์นั้นโทนกับปี่ตีกันอึง | ||
ท่านเจ้าเมืองคิดเห็นให้เป็นสุข | เชิญเจ้าคุณตัดจุกคำนับถึง | ||
เป็นมงคลนับถือไม่ดื้อดึง | เจ้าคุณจึ่งไปเหย้าตามเขาเชิญ | ||
เอาละครกองทัพไปเล่นช่วย | พวกละครมิได้ขวยสะเทินเขิน | ||
เล่นในการโกนจุกสนุกเกิน | คนดูเพลินกระไรเลยไม่เคยดู | ||
การละเล่นอื่นอื่นมีดื่นบ้าน | ทั้งเพลงการแอ่วลาวลั่นสนั่นหู | ||
เวลาค่ำสนธยาหน้าประตู | ดอกไม้รุ่งมีอยู่เขาจุดไฟ | ||
ดอกไม้กระถางรายตั้งจุดปังโปง | จุดพลุโพลงตึงลั่นเสียงหวั่นไหว | ||
ดอกไม้เทียนพุ่งจุดสะดุดใจ | แสงสุกใสสว่างกลางนภา | ||
ไฟพะเนียงเสียงลั่นสนั่นคึก | คะโครมครึกอึงหูดังซู่ซ่า | ||
ทั้งดอกไม้ช้างร้องช่องสทา | ดอกไม้ม้าวิ่งถนนคนกระจาย | ||
ทั้งอ้ายตื้อและตะไลโคมลอยลิ่ว | ลมพัดปลิวเทียมฟ้าดูหน้าหงาย | ||
ครั้นดอกไม้ไฟจุดพอหยุดงาย | ครั้นรุ่งสายสุริยาทิวาการ | ||
คนโกนจุกเดินไปเขาไกรลาส | ตีพิณพาทย์บรรเลงวังเวงหวาน | ||
ยิงปืนต้นสับสนอลมาน | เสียงสะท้านสะเทื้อนสะเทือนกาย | ||
ครั้นเมื่อจะตัดจุกเขาคุกคาม | คนร้องห้ามปากเสียงสำเนียงหาย | ||
ห้ามพิณพาทย์มิให้ตีมีระคาย | ครั้นโกนแล้วผันผายเบญจาพลัน | ||
เหล่าพระสงฆ์ทุกองค์ตักน้ำสาด | คนเกลื่อนกลาดล้วนมือจับถือขัน | ||
ต่างคนตักน้ำสาดพัลวัน | เข้าช่วยกันรดน้ำทำชอบกล | ||
คนโกนจุกเสร็จมาผลัดผ้าสี | กลับนุ่งผ้าขาวนี้น่าฉงน | ||
ต้องนุ่งขาวสามวันมันเต็มทน | แจ้งยุบลน่าหัวร่อให้งองัน | ||
หรือทำตามเพศลาวชาวบ้านนอก | ผิดบางกอกจริงจริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
ซึ่งประดิษฐ์คิดคำกล่าวรำพัน | จริงทั้งนั้นมิได้แกล้งมาแต่งการ ฯ | ||
๏ ฝ่ายว่าพณะหัวจอมพหล | เห็นไพร่พลไม่มีสุขสนุกสนาน | ||
ล้วนง่วงเหงามิได้มีที่สำราญ | จึ่งคิดอ่านแก้ไขในปัญญา | ||
จัดละครเล่นสนุกแก้ทุกข์ทน | เห็นไพร่พลพร้อมกันด้วยหรรษา | ||
ต่างคนต่างแก้ทุกข์สนุกตา | บ้างเฮฮาเอิกเกริกเบิกสบาย | ||
พวกชาวเมืองต่างดูมากรูกราว | ทั้งแก่สาวพรั่งพรูมาดูหลาย | ||
ทั้งเด็กเดินเด็กวิ่งพร้อมหญิงชาย | ตะเกียกตะกายชักพากันมาอึง | ||
พวกละครตัวดีมีฝีมือ | ได้ฝึกปรือซ้อมประสมเล่นคมขึง | ||
พวกสาวชาวโคราชหวาดคะนึง | เสียงกลองตึงเป็นต้องมาตั้งตาดู | ||
ลางอนงค์จงภักดิ์รักละคร | มาหลับนอนตามยศไม่อดสู | ||
พวกละครไม่อดอยากซึ่งหมากพลู | ล้วนจับคู่ได้เมียเสียทุกคน | ||
พวกละครน้อยตัวไม่ทั่วสาว | ต่อยืดยาวทั้งกองทัพดูสับสน | ||
ล้วนมีชู้คู่ทั่วทุกตัวตน | ผู้หญิงยลรักงามติดตามมา | ||
ที่ผู้ดีหาที่รักตามศักดิ์สูง | ที่เหล่าฝูงหญิงโคราชทาสทาสา | ||
ก็รักพวกนิกายฝ่ายโยธา | ติดตามมาอยู่กันออกพันพัว | ||
หญิงโคราชแสนสวาทพวกกองทัพ | อยากขยับจะใคร่ได้เป็นผัว | ||
ที่มีลูกสาวแซ่ฝ่ายแม่กลัว | ต้องคุมตัวซ่อนเร้นเป็นโกลา | ||
ที่บางคนมีบ่าวเป็นสาวแส้ | ลั่นกุญแจโซ่ใหญ่ต้องใส่ขา | ||
กลัวกองทัพนั้นจักไปลักพา | ต้องรักษาบ่าวไพร่ไม่สบาย | ||
ข้างเจ้าเมืองโคราชให้หวาดไหว | กลัวบ่าวไพร่ลูกเมียจะเสียหาย | ||
จะตามพวกกองทัพไปลับกาย | เกณฑ์ผู้ชายนั่งยามตามประตู | ||
ตั้งระวังยิ่งยวดเป็นกวดขัน | ด้วยพวกกองทัพนั้นมาเที่ยวอยู่ | ||
จะลอบรักเมียน้อยคอยเล่นชู้ | มิให้หมู่กองทัพลอบลับมา ฯ | ||
๏ วันหนึ่งค้นได้เสื้อหมวกพวกกองทัพ | ในห้องหับหม่อมตัวโปรดโกรธหนักหนา | ||
ท่านพระยากำแหงแผลงศักดา | ชำระหาแม่สื่อคือผู้ใด | ||
ซึ่งได้ผ้ากับหมวกพวกกองทัพ | สองสำรับนี้หวามาแต่ไหน | ||
ถามหม่อมปลั่งตัวรักซักว่าใคร | เอามาให้กับมึงจนถึงมือ | ||
หม่อมอึดอัดซัดป้ายนายทหาร | ได้ว่าวานอีพุ่มรู้เป็นผู้ถือ | ||
ท่านพระยาโคราชตวาดอือ | หมวกผ้าหือเอามาไว้ทำไมกัน | ||
หม่อมเรียนตามจริงจิตจะคิดหนี | แปลงอินทรีย์เป็นผู้ชายลอบผายผัน | ||
พระยาโคราชเตะตบเข่นขบฟัน | สั่งผูกพันอีพุ่มเฆี่ยนเจียนชีวัน | ||
อีพุ่มให้การชัดแล้วซัดใส่ | หลวงอะไรท่านมาหาดีฉัน | ||
ให้เอาเสื้อหมวกดำเป็นสำคัญ | นำผายผันมาให้หม่อมของพร้อมเพรียง | ||
ท่านพระยาโคราชตวาดอึง | ร้องเหม่น้อยหรือมึงจนสุดเสียง | ||
เตะอีพุ่มกลุ้มกลมลุกล้มเอียง | อีพุ่มเพียงบรรลัยขาดใจตาย | ||
แล้วใส่ตรวนขานกยางลูกยางโต | ซ้ำสวมโซ่กลัวจะลี้หลบหนีหาย | ||
สั่งคนคุมอีพุ่มอยู่เรียงราย | ทั้งหญิงชายพิทักษ์พร้อมพรักกัน | ||
เจ้าเมืองนำเสื้อหมวกพวกกองทัพ | มาร้องกับพระยาราชเสนานั่น | ||
พระยาราชเสนารับมาฉับพลัน | แล้วกล่าวกลั่นจดหมายตามรายความ | ||
มากราบเรียนพณฯ หัวจอมพหล | ตามเหตุผลชู้สาวที่กล่าวถาม | ||
ในเรื่องราวมีหมดปรากฏนาม | ให้เจ้าเมืองติดตามมากราบเรียน | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพรับหนังสือ | กรายกรถืออ่านความตามเกษียน | ||
สดับเรื่องเบื้องต้นดูวนเวียน | เห็นผิดเพี้ยนเหลือคิดในจิตแคลน | ||
ด้วยหญิงหนึ่งมาดหมายผู้ชายสอง | เหมือนวันทองครั้งเบื้องเรื่องขุนแผน | ||
ซึ่งเรานั้นต้องพันวสาแทน | ก็สุดแสนที่ถวิลตัดสินความ | ||
จึ่งบัญชาถามนายฝ่ายทหาร | จงให้การโดยจริงสิ่งที่ถาม | ||
ด้วยเรื่องราวกล่าวฉลุระบุนาม | จงแจ้งตามจริงใจหมวกใครมี | ||
นายทหารคำนับรับบัญชา | กราบเรียนว่าเสื้อหมวกพวกที่นี่ | ||
ของเก่ากระนั้นไซร้มิได้มี | ไม่เหมือนอีพุ่มซัดความสัตย์จริง | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพกลับประภาษ | ถามพระยาโคราชไปทุกสิ่ง | ||
ซึ่งจะให้ชำระความตามประวิง | ต้องขอตัวผู้หญิงมายืนยัน | ||
แม้นจะให้สำเร็จแล้วเด็ดขาด | ให้เจ้าเมืองโคราชคิดผ่อนผัน | ||
ส่งตัวคนกลางมาได้ว่ากัน | โดยเที่ยงธรรม์ยุติธรรมคำหารือ | ||
นี่ซัดเขาเขาไม่รับจับไม่ได้ | เป็นจนใจชำระความตามหนังสือ | ||
หรือใครจับเสื้อผ้าได้คามือ | จะผูกถืออย่างไรการไม่ควร | ||
แม้นจะให้สำเร็จความเท็จจริง | ส่งตัวหญิงมาจึ่งชิบให้สอบสวน | ||
พระยาโคราชได้ฟังนั่งเรรวน | ทำหน้าม้วนเหมือนอย่างงูนางอาย | ||
หนังสือพระยาราชเสนากล่าวหาฟ้อง | ความข้อสองปรากฏในจดหมาย | ||
พวกกองทัพหมกมุ่นทำวุ่นวาย | เที่ยวลักนายพาบ่าวของเขาไป | ||
ล้วนหญิงทาสชาวนิคมกรมการ | บ่าวชาวบ้านเชยชิดพิศมัย | ||
พวกกองทัพลักพามาร่ำไป | อยู่ที่ในเขื่อนค่ายมากหลายคน | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพสดับเรื่อง | ว่าชาวเมืองตามกองทัพมาสับสน | ||
เป็นสุดจะห้ามใจของไพร่พล | ล้วนเต็มทนพลัดพรากมาจากเมีย | ||
หญิงสมัครรักชายเรื่องรายนี้ | เป็นสุดที่ปราบปรามห้ามเขาเสีย | ||
หญิงก็อยากชายก็ยั่วจึ่งปัวเปีย | ต่างคลอเคลียรักใคร่ใจของมัน | ||
ถึงว่าตัวเรานี้หากมีศักดิ์ | เป็นสุดจัดยอกย้อนคิดผ่อนผัน | ||
หาไม่ก็เที่ยวไปพามาเหมือนกัน | เขาเต็มกลั้นจะห้ามปรามอย่างไร | ||
ด้วยหญิงมันสมัครรักผู้ชาย | จึงหนีหายพยายามตามวิสัย | ||
แม้นกองทัพลักพาบ่าวข้าใคร | ใจต่อใจมันพร้อมยินยอมกัน | ||
ให้เจ้าเงินมาร้องฟ้องเถิดนะ | จะชำระให้จริงทุกสิ่งสรรพ์ | ||
ทาสชาวบ้านที่มีสารกรมธรรม์ | ทั้งสองนั้นรักใคร่ไม่เรรวน | ||
จะคิดเงินค่าตัวให้ยอมใช้ทุน | มิให้ขุ่นเคืองจิตทำผิดผวน | ||
ทั้งนอกกรมในกรมให้สมควร | เร่งชักชวนกันมาร้องฟ้องต่อเรา | ||
ล้วนนายทัพนายกองมานองเนือง | คอยชำระความเรื่องบ่าวทาสเขา | ||
ใครเร่งมาร้องความตามสำเนา | ล้วนว่างเปล่าค่อยจะชำระความ | ||
ตกพนักงานของฝ่ายกองทัพ | จะคอยรับชำระให้อย่าได้ขาม | ||
แม้นบุตรสาวของผู้ใดพอใจงาม | วิ่งแร่ตามกองทัพมาหลับนอน | ||
ก็สุดแม่พ่อจะยอยก | การจะตกลงกันจัดผันผ่อน | ||
ต้องชำระเป่าปัดคิดตัดรอน | มิให้ราษฎรเคืองรำคาญ | ||
ถ้าแม้นชายพวกมากลากไปฉุด | ซึ่งบ่าวบุตรข้าทาสทำอาจหาญ | ||
คงจะตัดสินความให้ตามการ | ซึ่งชายพาลอย่างนี้ไม่มีใคร | ||
ท่านเจ้าคุณจงหวังสั่งเสมียน | ให้มาเขียนตามบัญชาที่ปราศรัย | ||
ตอบพระยาราชเสนาจะว่าไร | คนถือหนังสือไปให้แกดู | ||
พระยาโคราชบาดหมางระคางเขิน | ใจสะเทิ้นแสนระทดจิตอดสู | ||
ด้วยหาเขานั้นผิดติดประตู | หมองนิ่งอยู่ฟังถามความทั้งปวง | ||
เพราะหาโทษเขานั้นไม่มั่นคง | ครั้นจะส่งเมียมาแก่ข้าหลวง | ||
พิจารณาว่าความตามกระทรวง | ก็หึงหวงสุดปัญญาเลยลาไป | ||
ครั้นรุ่งขึ้นระบือลือกันกลุ้ม | ว่าอีพุ่มหนีไม่รู้ไปอยู่ไหน | ||
บ้างว่าเขาฆ่าตายมันหายไป | ต่างสงสัยหนักหนาพูดจากัน | ||
เรื่องหนีนั้นขัดขวางไปทางไหน | คนระวังระไวตรวจเป็นกวดขัน | ||
นายประตูนั่งยามก็ครามครัน | เป็นหลายชั้นตามช่องด้อมมองมี | ||
ตรวนก็โตโซ่ก็ใหญ่มิใช่หยอก | จะตัดออกเห็นไม่ไหวมันไม่หนี | ||
เจ้าเมืองฆ่ามันตายวายชีวี | ครั้นเป็นผีสิ้นชีวิตแล้วปิดบัง | ||
คนในจวนพูดชุมว่าอีพุ่มหนี | ข้างคนนอกว่าเอาผีไปซ่อนฝัง | ||
ต่างคนต่างลือระบือดัง | การก็ยังไม่แท้แน่ข้างใคร | ||
ความก็เรียบค่อยเงียบสงบหาย | ไม่แพร่งพรายต่างพินิจคิดสงสัย | ||
ไม่มีผู้รู้แท้หนึ่งแน่ใจ | ก็เงียบไปวายคนสนทนา ฯ | ||
๏ ครั้นวันหนึ่งทราบความตามกระแส | ซึ่งท้องตรามาแท้ไม่กังขา | ||
ข้อประกาศแก่พระยาราชเสนา | ให้มีตราประกาศหมายเมืองรายทาง | ||
ห้ามมิให้ซื้อข้าวให้ท้าวเพี้ย | หยุดซื้อเสียเหลือจงเข้าคงฉาง | ||
พวกเรารู้แจ้งใจไม่ระคาง | ด้วยไว้วางจิตแท้เป็นแน่ใจ | ||
มิให้ซื้อข้าวกล้องจ่ายกองทัพ | คงได้กลับมั่นคงไม่สงสัย | ||
คนทั้งหลายหมายแน่เซ็งแซ่ไป | ด้วยจะได้กลับบ้านถิ่นฐานตน | ||
ต่างก็เตรียมข้าวของทั้งกองทัพ | คิดว่ากลับแน่ใจไม่ฉงน | ||
คอยรอฟังท้องตราถ้วนหน้าคน | เป็นกังวลสืบสาวถามข่าวไป | ||
บางคนก็ไปเที่ยวเกี้ยวผู้หญิง | ทำสุงสิงพากันมาหวั่นไหว | ||
ไม่ว่าเหล่าบ่าวทาสบังอาจใจ | แม้นรักใครลักพากันมาอึง | ||
ข้างชาวเมืองตามร้องฟ้องกันวุ่น | จนเจ้าคุณทราบต่อหูได้รู้ถึง | ||
เขามาร้องตรองตรึกนึกคำนึง | คิดรำพึงผ่อนผันเป็นฉันใด | ||
ท่านเจ้าพระยาจอมพหลกังวลหนัก | ด้วยเรื่องลักพากันมาหวั่นไหว | ||
บัญชาสั่งตามกระทรวงหลวงพิชัย | ประกาศไปปิดประตู้รอบบุรี | ||
แม้นหญิงทาสชายพามากองทัพ | ให้บอกกับพระชัยบูรณ์และขุนศรี | ||
กะดานพลโดยตามความคดี | ว่าหญิงหหนีตามมาสัจจาจริง | ||
กำหนดสามวันรู้ให้ผู้ชาย | จงห่อเงินไปถ่ายค่าตัวหญิง | ||
แม้นไม่มีเงินตราอย่าประวิง | ส่งตัวหญิงคืนไปให้กับนาย | ||
อย่าให้ป่วยการงานหน่วงนานวัน | ถ้าดื้อดันจะทำโทษตามกฎหมาย | ||
ทั้งกองทัพรู้แจ้งไม่แพร่งพราย | ต่างยักย้ายผ่อนผันด้วยปัญญา | ||
ขืนลักพาข้าเขาเข้ามาไว้ | ล้วนเงินไปติดตัวชั่วหนักหนา | ||
ส่งตัวหญิงคืนไปไม่นำพา | เจ้าเงินเล่าเขาด่าทำโทษทัณฑ์ | ||
ซึ่งอย่างนี้มีชุมเกลื่อนกลุ้มหนัก | หญิงเฝ้ารักผู้ชายตาผายผัน | ||
นายเขาเฆี่ยนก็ไม่ขามอยากตามกัน | ดูมันขันยิ่งชุมมารุมไป | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพบังคับสั่ง | ประกาศทั้งกองทัพบังคับไข | ||
ว่าทีหลังใครอย่าพาซึ่งข้าไท | ห้ามมิให้ลักพาซึ่งนารี | ||
ถ้าผูกรักใคร่กันจงผันผ่อน | วางเงินเขาเสียก่อนอย่าชวนหนี | ||
แม้นขืนจักลักพาฝืนวาที | จะต้องมีโทษทัณฑ์ตามบัญชา ฯ | ||
๏ ถึงเดือนสามแรมแปดค่ำได้จำคืน | พ่อจมื่นตำรวจใหญ่ชัยภูษา | ||
เสร็จจึงถึงนครราชสีมา | เชิญท้องตราราชสีห์มีสำคัญ | ||
กับดอกไม้ไฟสำหรับรบทัพเจ๊ก | และกรวดเล็กเรี่ยวแรงฤทธิ์แข็งขัน | ||
อีกดินปืนที่ยัดปัศตัน | หลายร้อยพันสำหรับกองทัพมา | ||
ล้วนของหลวงทรงประทานท่านเจ้าคุณ | ดินกระสุนของอื่นเครื่องปืนผา | ||
ถึงที่ทำเนียบค่ายบ่ายเวลา | เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง | ||
พรักพร้อมด้วยเจ้าเมืองกรมการ | แน่นขนานคอยนั่งอยู่ทั้งผอง | ||
พร้อมสรรพนายทัพและนายกอง | จึ่งฉีกท้องตราอ่านสารโองการ | ||
ว่าซึ่งกองทัพฮ่อที่ก่อกวน | อยู่เมืองพวนนักหนาล้วนกล้าหาญ | ||
และเมืองสุยเชียงขวางทางกันดาร | ฮ่อประมาณหกร้อยคอยประจญ | ||
ให้เจ้าพระยารีบยกทัพบกไป | ได้ชิงชัยต่อตีให้ปี้ป่น | ||
ให้มีชื่อเสียงไว้ในสกล- | ล โลกล้นลือนามด้วยความดี | ||
ในข้อสองว่าด้วยกองเสบียงนั้น | เมืองเวียงจันท์ไปเชียงขวางทางวิถี | ||
ต้องเดินตามข้ามเขินเนินคีรี | เห็นสุดที่ส่งลำเลียงเสบียงคน | ||
ซึ่งจะให้พระยามหาอำมาตย์ | เหลือขนาดส่งเสบียงเลี้ยงพหล | ||
ด้วยว่าทางเดินยากลำบากพล | ที่จะขนโคต่างทางกันดาร | ||
บัดนี้เล่าได้สั่งเจ้าพระยาภู | จัดแจงดูส่งเสบียงเลี้ยงทหาร | ||
ได้มีตราไปกำชับบังคับการ | ให้คิดอ่านส่งเสบียงให้เพียงพอ ฯ | ||
๏ ครั้นสำเร็จเสร็จอ่านซึ่งสารศรี | ความอื่นมีมากมายอีกหลายข้อ | ||
ท่านเจ้าคุณได้ฟังไม่รั้งรอ | แต่งตอบต่อบังคมลาฝ่ายุคล | ||
บัญชาสั่งตามกระทรวงหลวงภักดี | ผู้ว่าที่ยกกระบัตรจัดพหล | ||
ให้ถ้วนตามริ้วทัพกำชับพล | ประจวบจนวันดีได้ลีลา | ||
สั่งขุนโลกนัยนาให้หาฤกษ์ | โหรก็เลิกสมุดต้นเที่ยวค้นหา | ||
แล้วลงเลขคูณหารอ่านตำรา | แล้วเขียนว่าแม่นมั่นซึ่งวันดี | ||
ในเดือนสามฤกษ์เลิศมงคล | รอไปจนคลาดเคลื่อนถึงเดือนสี่ | ||
ขึ้นเจ็ดค่ำเมฆเบิกนั้นฤกษ์ดี | รออีกทีสิบสองค่ำฤกษ์นำพล | ||
พวกกองทัพทุกหมู่ต่างรู้ตัว | เตรียมกันทั่วกองทัพดูสับสน | ||
ทหม้าหาบหามแต่งพอแรงตน | ทั่วทุกคนแต่งเสร็จสำเร็จการ | ||
เจ้าพระยาจอมพหลกังวลนัก | ด้วยว่าจักยกพหลพลทหาร | ||
ทางโคกหลวงน้ำนั้นแสนกันดาร | จะรำคาญเคืองใจแก่ไพร่พล | ||
ด้วยพระมหาเทพนั้นคลาดคลาย | มาแต่เมืองหนองคายแจ้งเหตุผล | ||
กันดารน้ำลำหนองและคลองชล | ทุกตำบลแห้งขอดตลอดทาง | ||
เจ้าพระยาพาทีมีบัญชา | ให้ขุนราชเมธาไปสืบสาง | ||
ที่ด้วยเรื่องน้ำแห้งแหนงระคาง | ตามระหว่างที่พักพำนักพล | ||
พร้อมกรมการทหารหน้า | ไปสืบซึ่งกิจจาเอาเหตุผล | ||
กับขุนหมื่นริ้วตั้งในวังบน | ทั้งสี่คนสืบการอย่านานวัน | ||
ทั้งสี่นานคำนับรับบัญชา | ต่างคลาดคลาเคลื่อนคล้ายรีบผายผัน | ||
ไปสืบรู้เสร็จสรรพแล้วกลับพลัน | ถึงพร้อมกันหมอบราบก้มกราบเรียน | ||
ทางโคกหลวงเหลือแล้วน้ำแห้งขอด | ทั่วตลอดจดกะระยะเขียน | ||
เป็นหนทางกลางทุ่งเวิ้งวุ้งเตียน | สุดแวะเวียนร่มพักสำนักคน | ||
ครั้นเจ้าคุณได้ฟังไม่กังขา | จึงปรึกษาข้อความตามนุสนธิ์ | ||
ด้วยหนทางที่จะไปพร้อมไพร่พล | จะปี้ป่นทารกรรมน้ำไม่มี | ||
จะยกเยื้องทางเมืองพิมายหนอ | น้ำท่าพอทั่วระหว่างทางวิถี | ||
พร้อมนายทัพนายกองร้องว่าดี | จะเป็นที่อาศัยแก่ไพร่พล | ||
หลวงภักดียกกระบัตรคนจัดเจน | จึงกะเกณฑ์หมายไปไม่ฉงน | ||
แล้วเร่งเกณฑ์เกวียนช้างโคต่างคน | หัวเมืองบนสมทบทัพให้ฉับพลัน | ||
กรมการเร่งรัดจัดมาส่ง | ไม่ไหลหลงรีบรวดการกวดขัน | ||
ต้องรีบรัดจัดหามาให้ทัน | บ้างผ่อนผันหากินจิตยินดี | ||
ราษฎรที่มีช้างโคต่างเกวียน | บ้างถูกเฆี่ยนด้วยนำช้างโคต่างหนี | ||
ราษฎรยับเยินบ้างเงินมี | เสียให้ที่กรมการท่านผู้เกณฑ์ | ||
กรมการได้ทีดีใจหาย | ผู้จัดจ่ายหน้าแดงเป็นแสงเสน | ||
ได้เงินทองของตระการซ่านกระเซ็น | ด้วยจัดเจนเคยฉ้อพอสบาย | ||
ที่เกวียนดีมั่นคงไม่ส่งให้ | ยักยอกไว้ซ่อนเร้นไม่เห็นหาย | ||
ให้แต่เกวียนจวนจักหักทลาย | โคเกือบตายผอมเต็มที่มีแต่โครง | ||
จึงจัดจ่ายให้กับกองทัพมา | พวกเราว่าเหลือทนบ่นโขมง | ||
กรมการเต็มแค้นช่างแสนโกง | ที่ปากโป้งด่าว่านินทาดัง ฯ | ||
๏ กองทัพได้เกวียนต่างช้างสำเร็จ | ถึงขึ้นเจ็ดค่ำมีสี่เดือนหวัง | ||
กำหนดฤกษ์บริสุทธิ์วันพุทธัง | พรักพร้อมพรั่งจัดกระบวนทวนทุกกอง | ||
เวลาบ่ายได้ฤกษ์เลิกพหล | ดูสับสนประดาดังคนทั้งผอง | ||
เจ้าคุณเสร็จขึ้นนั่งยังจำลอง | ก็ลั่นฆ้องโห่เดินดำเนินพล | ||
ซึ่งช้างทรงองค์พระปฏิมา | กลับผันหน้าเป็นนิมิตคิดฉงน | ||
เฝ้าถอยหลังเดินกลับขยับตน | หมอไสจนระอาใจไม่ยักเดิน | ||
ผู้คนร้องวิปริตนิมิตดี | ไปครั้งนี้คงเป็นสุขไม่ฉุกเฉิน | ||
นิมิตมงคลดีมีจำเริญ | ไม่นานเนิ่นกองทัพคงกลับคืน | ||
คนเนืองนองกองทัพดูสับสน | ฝูงไร่พลเฮฮาต่างหน้าชื่น | ||
ล้วนใจคอเหี้ยมฮึกเสียงครึกครื้น | บ้างช้างตื่นหันเหียนวิ่งเวียนวน | ||
ยกนิกรจากนครราชสีมา | มุ่งมรรคาเข้าในพฤกษ์ไพรสณฑ์ | ||
ระยะบ้านเรียงรายหลายตำบล | ไม่ชอบกลป่วยการคิดราญรอน | ||
ข้ามลำน้ำบริบูรณ์พูนสวัสดิ์ | เร่งรีบรัดจรจรัลไม่ผันผ่อน | ||
พอถึงสระธรรมขันธ์ตะวันจร | หยุดพักร้อมแรมพักสำนักพล | ||
พอขุนนราฤทธิไกรไปหนองคาย | กลับผันผายคำนับน้อมจอมพหล | ||
ทำหนังสือถือตรามาแต่บน | ข้อนุสนธิ์เจ้าพระยาภูธราภัย | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพรับหนังสือ | ประจงถืออ่านแจ้งแถลงไข | ||
พร้อมนายทัพนายกองเนืองนองไป | อ่านแจ้งใจประจักษ์ความตามยุบล | ||
ว่าเมืองหลวงพระบางทางกันดาร | ซึ่งอาหารและเสบียงเลี้ยงพหล | ||
เหลือลำบากยากใจแก่ไพร่พล | ย่อมขัดสนอดอยากลำบากใจ | ||
แต่ซึ่งอ้ายพวกฮ่อทรลักษณ์ | ไม่หาญหักรบราอัชฌาสัย | ||
มาชักชวนหย่าทัพยกกลับไป | ตั้งอยู่ในเมืองพวนเห็นรวนเร | ||
ได้จัดพระสุริยภักดีไป | ซ้ำเติมใส่เสียให้มันแตกหันเห | ||
ในกำหนดเดือนสามตามคะเน | ให้ซวนเซสำทับให้ยับเยิน | ||
ในข้อสองว่ากองครัวเมืองพรวน | อ้ายฮ่อกวนเกิดยุคยามฉุกเฉิน | ||
หนีมาสู่โพธิสมภารประมาณเกิน | แยกทางเดินไปเบื้องเมืองหนองคาย | ||
ซึ่งตาแสงแขวงกำนันพันท้ายบ้าน | แลพกองก่านกักขังครัวทั้งหลาย | ||
ได้มีตราไปบังคับกำชับนาย | ปล่อยโดยง่ายมิได้ตั้งกักขังนาน | ||
แม้นเจ้าพระยามหินทร์รู้สิ้นสรรพ | จะมีตราไปบังคับไปว่าขาน | ||
ถึงพระยามหาอำมาตย์ราชการ | ให้นายบ้านปลอบครัวไม่พัวพัน | ||
เห็นจะดีไม่เสียขาดราชการ | ครั้นว่าอ่านความจบเสร็จสบสรรพ์ | ||
เจ้าคุณแต่งเรื่องตามเนื้อความพลัน | หนังสือนั้นเสร็จส่งให้ลงไป | ||
ให้พระยาราชเสนารู้อาการ | ในข่าวสารแจ่มแจ้งแถลงไข | ||
ให้คนนำหนังสือถือครรไล | แต่โดยในวันนั้นไม่ผันแปร | ||
ครั้นจวนแจ้งแสงเสร็จสิบเอ็ดทุ่ม | ผู้คนกลุ้มอยู่ระเบ็งเสียงเซ็งแซ่ | ||
พวกทหารนั้นเล่าก็เป่าแตร | คนอัดแอผูกช้างโคต่างพลัน | ||
คนพร้อมพรั่งทั้งหลายก็บ่ายบาก | ยกออกจากสระน้ำธรรมขันธ์ | ||
เดินกระบวนมาในทางกลางอรัญ | สุริยันเยี่ยมฟ้าเวลางาย | ||
ประจวบถึงพึ่งเกราเข้าสำนัก | หยุดผ่อนพักโยธาเวลาสาย | ||
ต่างคนเสพอาหารสำราญกาย | แต่พอบ่ายสุริยาท้องฟ้ามัว | ||
พอลมตกยกขยับกองทัพเดิน | ร่มจำเริญแดดแฝงแสงสลัว | ||
เห็นฝนใหญ่ตั้งร่ามาน่ากลัว | ตลอดทั่วโดยรอบขอบมณฑล ฯ | ||
๏ ครั้นถึงหนองสะแกแลสะอาด | ที่บนโคกจอมปราสาทกลางไพรสณฑ์ | ||
เสร็จปลงช้างหยุดพักสำนักพล | แรมตำบลนั้นคืนรื่นสำราญ | ||
วลาหกตกอยู่เสียงซู่ซ่า | พวกโยธาคับคั่งนั่งขนาน | ||
ไม่มีที่บังร่มเปียกซมซาน | เอาใบตาลบิดบังนั่งยองยอง | ||
บางคนหักได้กิ่งไม้คลุม | มาปกสุมมิดชิดบังปิดของ | ||
บรรดาเหล่าชาวพลเปียกฝนนอง | ฟ้าก็ร้องเปรี้ยงครืนดั่งปืนยิง | ||
พอฝนหายหนาวงันสั่นเหมือนไข้ | ต้องก่อไปขึ้นนั่งพออังผิง | ||
พวกไพร่พลหนาวงันสั่นเหมือนลิง | มันหนาวจริงจับใจผิงไฟลน ฯ | ||
๏ ครั้นเช้ามืดตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพ | คลาเคลื่อนทัพออกดำเนินเดินพหล | ||
รุ่งแสงทองท้องฟ้านภาดล | ประจบจนแม่น้ำลำเชียงไกร | ||
น้ำก็เค็มเต็มเหลือเหมือนเกลือแช่ | ลำกระแสน้ำแสงสีแดงใส | ||
ก็เสร็จข้ามโยธารีบคลาไคล | ก็เข้าในเขตตำแหน่งแขวงพิมาย | ||
เดินในทุ่งสัมฤทธิ์พินิจแล | ดูทิวไม้ไกลแท้น่าใจหาย | ||
แลเวิ้งวุ้งทุ่งเลี่ยนเตียนสบาย | ดูสุดสายนัยนาพฤกษาทิว | ||
เห็นแนวไม้สุดคาดมาตรคะเน | ดังทะเลบกชัดลมพัดฉิว | ||
ละอองฝุ่นกลางทุ่งขึ้นฟุ้งปลิว | แลละลิ่วเหมือนอย่างกลางทะเล | ||
ผู้นำร่องเจนจัดนำตัดทุ่ง | เคยหมายมุ่งแม่นใจไม่ไขว้เขว | ||
ชำนาญทางหมายมาตรคาดคะเน | ไม่โย้เย้เดินมุ่งตัดทุ่งเตียน | ||
พอถึงหนองโรงเรือช่างเหลือร้อน | จะพักผ่อนยากจิตสถิตเสถียร | ||
พอพระพิมายหมอบราบมากราบเรียน | น้อมจำเนียรโดยความกล่าวตามการ | ||
เชิญเจ้าคุณประเทียบทำเนียบร้อน | หยุดพักผ่อนโดยระยะสระสนาน | ||
ทำเนียบปลูกไว้ท่าโอฬาฬาร | ที่ริมธารโดยระยะขอบสระโต | ||
เจ้าคุณดีที่สุดว่าหยุดอยู่ | ซึ่งเหล่าหมู่ทวยหาณประมาณโข | ||
พักกลางแจ้งร้อนแสงสุริโย | แดดออกโร่ทำเนียบหนอไม่พอกัน | ||
จะอาศัยได้แต่เราเข้าไปอยู่ | สงสารหมู่เหล่าทหารพลขันธ์ | ||
ด้วยคนมิใช่ร้อยหลายร้อยพัน | จะหยุดนั้นไม่มีที่กำบัง | ||
พระพิมายเลยนำทางตัดขวางทุ่ง | เขม้นมุ่งทิวไม้ด้วยใจหวัง | ||
เข้าหยุดร่มพฤกษาเป็นป่ารัง | อยู่ริมฝั่งขอบลำแม่น้ำมูล | ||
เห็นน้ำใจใหญ่โตดูโสภา | ฝูงมัจฉากุมภิลไม่สิ้นสูญ | ||
จระเข้ก็มีบริบูรณ์ | ดูเพิ่มพูปรีดาผักปลาชุม | ||
บ้างมีอวนมีแหลงแซ่เสียง | ได้ปลาเงี่ยงปลางาหากันกลุ้ม | ||
บางคนตั้งกับช้อนต้อนเข้ามุม | บ้างก็สุ่มที่ตื้นล้วนพื้นทราย | ||
ดูสนุกน่าสนานในชานชล | เหล่าผู้คนเซ็งแซ่กระแสสาย | ||
มุจฉาชุมไพร่พลกระวนกระวาย | ครั้นว่าบ่ายลมตกเสร็จยกพล | ||
เดินมาในกลางทุ่งมุ่งเขม้น | เหลือบแลเห็นฟ้าสลัวมืดมัวฝน | ||
พระสุริย์ศรีรังสรรค์อันธกล | ฟ้ามืดมนธ์ถึงเบื้องเมืองพิมาย | ||
ก็หยุดพักพวกพหลพลทหาร | ยั้งที่ท่าสงกรานต์กระแสสาย | ||
อยู่ที่ริมฝั่งน้ำมูลเนินพูนทราย | พลนิกสยล้าหลังยังไม่มา | ||
บ้างท้าบวมจะเดินเหินไม่ไหว | บ้างเป็นไข้ต้องรอหมอรักษา | ||
ฝ่ายว่าเจ้าคุณท่านมีบัญชา | หยุดรอท่าพลพองามกว่าสามวัน | ||
ครั้นรุ่งแสงสุริยาฟ้าระยับ | เจ้าพระยาแม่ทัพเสร็จผายผัน | ||
ประสาทศิลาพร้อมหน้ากัน | ซึ่งตัวฉันพยายามติดตามไป ฯ | ||
๏ ครั้นถึงปราสาทหินเห็นภิญโญ | สูงเติบโตนี่ใครสร้างแต่ปางไหน | ||
มีหน้าบันมุขเด่นเห็นวิไล | น่าปลื้มใจมือช่างสร้างบรรจง | ||
ชั้นนอกรอบหินขอบกำแพงชิด | มีปรางค์มุขสี่ทิศแลระหง | ||
เสามุขใหญ่หินยันดูมั่นคง | บุษบงหินรับสลับลาย | ||
ลอกลวดลายมะหวดกลึงงามขึงขำ | สง่าง้ำแลเลิศดูเฉิดฉาย | ||
ปราสาทข้างปราสาทเคียงดูเรียงราย | เห็นแยบคายต่อติดสนิทแนว | ||
พร้อมรั้ววังคลังหินล้วนศิลา | ทำหลังคาหินเคียงเรียงเป็นแก้ว | ||
รอบนอกทิมดาบรายงามพรายแพรว | แลล้วนแล้วศิลาน่าจะดู | ||
ในพระราชวังหลายหลังเรือน | ทำเหมือนเหมือนรายเรียงเคียงกันอยู่ | ||
เอาศิลามาแต่ไหนก็ไม่รู้ | ไม่มีภูเขาใหญ่อยู่ใกล้เคียง | ||
ไปเก็บหินฉุดลากมาจากไหน | แท่งใหญ่ใหญ่ก่อสร้างวางเฉลียง | ||
อุตสาหะแต่งตั้งเป็นวังเวียง | พิศดูเพียงเทวฤทธิ์นิมิตทำ | ||
มีกำแพงปราการชั้นด้านนอก | มีข้างทิศตะวันออกดูขึงขำ | ||
เชิงเทินดินศิลาน่าประจำ | สง่าง้ำแข็งขันเห็นมั่นคง | ||
มีถนนหินทางเดินดำเนินออก | จากมุขด้านตะวะนออกโดยประสงค์ | ||
ไปนครหลวงนครวัดทางตัดตรง | ข้ามฝ่าดงไปในป่าพนาลี | ||
ล้วนหินมูลก่อเห็นเป็นถนน | น่าฉงนชมทางหว่างวิถี | ||
เขาว่าไปแต่พิมายหลายราตรี | จึงถึงที่นครวัดโดยสัจจัง | ||
เมืองนี้เดิมพารามหากษัตริย์ | พรหมทัตทราบเรื่องในเบื้องหลัง | ||
สุดจะร่ำพรรณนาว่าให้ฟัง | ขอยับยั้งเรื่องนิยายพิมายเมือง | ||
แม้นอยากรู้จงดูเรื่องปาจิตร์ | ท่านบัณฑิตกล่าวแกล้งแสดงเรื่อง | ||
ครั้นจะร่ำกล่าวจะช้าเวลาเปลือง | จึงยักเยื้องหลีกลัดตัดนิยาย | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพบังคับหวัง | บัญชาสั่งนิมนต์สงฆ์องค์ทั้งหลาย | ||
มาหมดสิ้นตลอดเบื้องเมืองพิมาย | แล้วถวายปัจจัยไทยทาน | ||
เชิญพระทนต์พระจอมเกล้าพระเจ้าราช | ขึ้นเหนืออาสน์ปรางค์หินในถิ่นฐาน | ||
สดับปกรณ์เสร็จสำเร็จการ | แสนสำราญรื่นเริงบันเทิงใจ | ||
แล้วเลยเที่ยวไปกระทั่งถึงยังถิ่น | เรียงวังหินมีลำแม่น้ำใหญ่ | ||
เห็นชาวบ้านทอดแหเซ็งแซ่ไป | อยู่ที่ในชลธาร์แน่นสาชล | ||
พวกชาวบ้านนำปลามาคำนับ | ให้เจ้าคุณแม่ทัพอยู่สับสน | ||
ท่านก็แจกเงินทั่วทุกตัวคน | ส่งให้ขนเอาปลานั้นมาพลัน | ||
มาแจกจ่ายนายทัพกับนายกอง | จิตปรองดองมิให้เคียดขึ้งเดียดฉันท์ | ||
คนละหลายหลายตัวแจกทั่วกัน | แจกจนชั้นไพร่พลคนละตัว | ||
ครั้นรุ่งแสงสุริยาเวลากาล | พวกชาวบ้านชักพามากันทั่ว | ||
แต่งสำรับคับขันมาพันพัว | คำนับพณหัวจอมโยธา | ||
เจ้าคุณเรียกเงินไปแจกให้กับ | พวกเจ้าของสำรับทั่วถ้วนหน้า | ||
สมควรกับของเขาที่เอามา | แล้วบัญชาสั่งให้พวกไพร่พล | ||
ยกสำรับแบ่งปันสู่กันกิน | คนได้ยินยกสำรับมาสับสน | ||
แบ่งปันกันตามประสาเวลาจน | เหล่าผู้คนได้สมอารมณ์ปอง | ||
กองทัพแรมเมืองพิมายหลายราตรี | เหล่าโยธีพร้อมพรั่งสิ้นทั้งผอง | ||
หายล้าเลื่อยเมื่อยปวดทุกหมวดกอง | จึงสำรองการเดินดำเนินพล | ||
ครั้นรุ่งสุริย์ศรีตีสิบเอ็ด | เตรียมพร้อมเสร็จยกเขยื้อนเคลื่อนพหล | ||
ออกจากเมืองพิมายหมายตำบล | เข้าไพรสณฑ์ออกจากทุ่งมุ่งหนทาง | ||
ดูเวิ้งวุ้งทุ่งทิวแลลิ่วลับ | เดินกองทัพตัดไปทิวไม้กว้าง | ||
ถึงท่าโพหยุดร้อนพักผ่อนพลาง | แล้วปลงช้างหยุดพักสำนักพลัน | ||
อยู่ที่ริมฝั่งลำแม่น้ำมูล | ต่างเพิ่มพูนปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
ชวนกันลงสู่ท่าหาปลากัน | พอตะวันบ่านเดินดำเนินพล | ||
ถึงบ้านศาลาหักหยุดพักแรม | พระจันทร์แจ่มส่องสว่างกลางเวหน | ||
แรมสำนักพักอยู่พร้อมผู้คน | ริมฝั่งชลแม่น้ำมูลเพิ่มพูนใจ ฯ | ||
๏ ครั้นจวนรุ่งตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพ | ยกกองทัพจรจรัลเสียงหวั่นไหว | ||
เดินตัดท้องทุ่งกว้างหนทางไกล | ลึกเข้าในป่าละเมาะลัดเลาะจร | ||
รีบรัดไม่รั่งรอมาบหึง | บรรลุถึงที่พักสำนักผ่อน | ||
ด้วยสายแสงสุริย์ศรีระวีวร | หยุดหนองบัวสุกรเวลาการ | ||
ครั้นร้อนอ่อนแสงสุริยน | เหล่าไพร่พลปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | ||
เสร็จคลาเคลื่อนโยธาไม่ช้านาน | จากสถานที่พักสำนักพลัน ฯ | ||
๏ มาถึงบ้านนางออรอสำนัก | เข้าหยุดพักซึ่งพหลพลขันธ์ | ||
บ้านนางออมีผู้เฒ่าเขาเล่ากัน | แต่ก่อนนั้นเรื่องนิทานนานเต็มที | ||
คือว่านางอรภิมนิ่มอนงค์ | ได้เป็นองค์เอกเอ้มเหสี | ||
กษัตริย์เมืองพิมายนิยายมี | ถิ่นที่นี้เป็นบ้านสถานนาง | ||
กี่หูกปรากฎตั้งยังไม่สิ้น | คล้ายเป็นหินชัดชัดไม่ขัดขวาง | ||
ปรากฎตั้งประจำเห็นสำอาง | ชำรุดร้างพังหักประจักษ์ตา | ||
ด้วยว่าของนี้นั้นหลายพันปี | เรื่องราวนี้ฉันไม่แสร้งแกล้งมุสา | ||
เป็นเรื่องราวโบราณนมนานมา | คือเรื่องปาจิตร์นั้นจงอ่านดู | ||
ตรงนี้เดิมสร้างเมืองแต่เบื้องหลัง | แต่คราวครั้งพรหมทัตกษัตริย์สู่ | ||
มีเชิงเทินเดินรอบเป็นขอบคู | ปรากฏอยู่ตาคนจนทุกวัน | ||
ฝ่ายกองทัพรอรั้งตั้งสงบ | จวนจะพลบพร้อมพหลพลขันธ์ | ||
พวกไพร่พลตั้งล้อมอยู่พร้อมกัน | เป็นชั้นชั้นริมลำแม่น้ำมูล | ||
น้ำมูลเอ๋ยดักหน้าเฝ่สมาคอย | พบบ่อยบ่อยอาบกินไม่สิ้นสูญ | ||
ฉันคิดคิดขึ้นมายิ่งอาดูร | ไม่เพิ่มพูนโหยหาแสนอาลัย | ||
แต่มิ่งมิตรของพี่ต้องนิราศ | ช่างหายขาดมิได้เห็นเป็นไฉน | ||
เฝ้าพบแต่แม่น้ำมูลร่ำไป | แม่ขวัญใจอนิจจาไม่มาเยือน | ||
ตั้งแต่พี่เริศร้างห่างสวาท | ช่างหายขาดดังคนขีดเอามีดเฉือน | ||
แต่พลัดพรากจากมาห้าหกเดือน | ไม่พบเพื่อนพิศมัยอาลัยลาน | ||
เวลาค่ำย่ำฆ้องมีตีสิบเอ็ด | พรักพร้อมเสร็จพหลพลทหาร | ||
ยกจากบ้านนางออไม่รอนาน | เสียงสะท้านสะเทื้อนพระธรณิน | ||
ด้วยฝีเท้าคนเดินดำเนินดัง | มาคับคั่งในป่าพฤกษาสิน | ||
ลมระบายชายชวยมารวยริน | รุ่งแสงทินกรอัมพรแดง ฯ | ||
๏ ครั้นถึงหนองห้วยหมูสู่สำนัก | เข้าหยุดพักพลนิกายพอสายแสง | ||
สู่ทำเนียบที่สร้างไว้กลางแปลง | มาจัดแจงเรียบร้อยคอยเจ้าคุณ | ||
ต่างจัดแจงปลงช้างโคต่างหยุด | บ้างก็มุดเข้าอาศัยอยู่ใต้ถุน | ||
บ้างขนของเอะอะชุลมุน | บางคนวุ่นเวียนหวิวหิวไม่พัน | ||
พอบ่ายแสงสุริยาฟ้าพายัพ | ยกกองทัพพร้อมนิกายจะผายผัน | ||
ข้ามท้องทุ่งเข้าทางกลางอรัญ | มุ่งหมายมั่นเดินผ่าป่าสะแก | ||
ก็เสร็จข้ามแม่น้ำลำสะแทก | เป็นลำแยกจากมูลศูนย์กระแส | ||
สิ้นเขตแดนพิมายเมืองชำเลืองแล | เข้าแขวงแควเมืองลาวชาวอรัญ ฯ | ||
๏ ครั้นถึงหนองช้างน้ำมีทำเนียบ | หยุดประเทียบพักพหลพลขันธ์ | ||
ถึงขอบหนองดูตามนามสำคัญ | ช้างน้ำนั้นอยู่ไหนจึงไม่ยล | ||
หรือตั้งชื่อย้อนยอกแกล้งหลอกพลาง | เห็นแต่ช้างกองทัพอยู่สับสน | ||
ลงสู่ในวารินดื่มกินชล | ออกเกลื่อนกล่นหนองน้ำคละคล่ำไป | ||
ก็รอรั้งตั้งทัพอยู่ยับยั้ง | คนก็ตั้งแวดล้อมพร้อมไสว | ||
ทั้งด่านนอกหอกทหารอยู่ด้านใน | พลไพร่พรักพร้อมตั้งล้อมวง | ||
กรมการพร้อมพรั่งมาคั่งคับ | ท่านเจ้าคุณออกรับดังประสงค์ | ||
เขานำม้าสีดำมุ่งจำนง | ตั้งใจจงน้อมเกล้าให้เจ้าคุณ | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพไม่รับไว้ | ท่านคืนให้เขาพลันไม่หันหุน | ||
ด้วยกริ่งเกรงหัวเมืองจะเปลืองทุน | กลัวบุญคุณเขาจะติดไม่คิดปอง ฯ | ||
๏ ครั้นพลยค่ำย่ำแสงสุริยง | คนล้อมวงพร้อมพรั่งสิ้นทั้งผอง | ||
ทั้งด้านนอกด้านในสุมไฟกอง | บ้างตีเกราะเคาะฆ้องกระแตตี | ||
พอกรมการมาพร้อมน้อมจำนง | ว่าเมืองพุทไธสงน่าบัดสี | ||
มีอ้ายผู้ร้ายมารบราวี | ชาวบุรีจวนจะแตกวิ่งแหวกทาง | ||
อ้ายผู้ร้ายพูดสำเนียงเสียงประหลาด | เหมือนโคราชได้ฟังชัดไม่ขัดขวาง | ||
ขอบารมีช่วยดับความอับปาง | เหมือนก่อสร้างพุทไธสงให้คงเวียง | ||
ท่านเจ้าคุณฟังแจ้งแถลงไข | เป็นการใหญ่ฟังศัพท์สดับเสียง | ||
จึงเอนโอษฐ์ปราศรัยแล้วไล่เลียง | เห็นแท้เที่ยงข้อความตามคดี | ||
บัญชาเยื้องสั่งเจ้าเมืองบุรีรัมย์ | ซึ่งมานำหนทางกลางไพรศรี | ||
ไปจับผู้ร้ายมาในราตรี | กับขุนสัจจวาทีอีกหนึ่งนาย | ||
หลวงพิชัยเสนาอาสารับ | จะไปจับพวกปล้นคนทั้งหลาย | ||
ท่านเจ้าคุณอนุญาตต่างคลาดคลาย | พร้อมสามนายรีบไปในราตรี | ||
ซึ่งกองทัพอยู่ทางยังห่างเมือง | คอยฟังเรื่องผู้ร้ายจะหน่ายหนี | ||
หรือจะจับได้มันในทันที | จนฆ้องตีสิบทุ่มคนกลุ้มกัน | ||
เสร็จเดินกระบวนทัพไม่ยับยั้ง | พร้อมสะพรั่งไพร่นายเตรียมผายผัน | ||
สว่างแจ้งแสงสีระวีวรรณ | ก็พร้อมกันจรมาไม่ช้านาน | ||
เข้าในเขตเมืองใหญ่พุทไธสง | คนเรียกคงนามสิ้นทุกถิ่นฐาน | ||
มีชื่อมาแต่ปฐมกาลนมนาน | จะประมาณหมายมั่นหลายพันปี | ||
พิศดูเมืองใหญ่พุทไธสง | เห็นมั่นคงคึกคักเป็นศักดิ์ศรี | ||
เชิงเทินดินล้อมรอบขอบบุรี | หนองน้ำมีรอบเมืองติดเนื่องกัน | ||
ถึงทำเนียบข้างประเทียบประทับพัก | หยุดพร้อมพักพหลพลขันธ์ | ||
ขนของส่งลงวางปลงช้างพลัน | บ้างหมายมั่นร่มไม้ด้วยใจจง | ||
ฝ่ายหลวงพิชัยเสนาพาอ้ายคน | พวกที่ปล้นเข้าในพุทไธสง | ||
เข้ากราบเรียนพรั่งพร้อมน้อมจำนง | โดยมั่นคงเรียนแยกแต่แรกมา | ||
เมื่อมาถึงเห็นเหล่าพวกชาวเมือง | จัดแจงเครื่องหาบวิ่งทิ้งเคหา | ||
จวนจะแยกแตกหนีหลีกลีลา | มาดแม้นช้าแล้วแตกแยกกันไป | ||
หากมาทันปราบปรามห้ามว่าช้า | เราจะฆ่าอ้ายคนร้ายหายไปไหน | ||
ซึ่งพวกลาวชาวบุรีต่างดีใจ | มากราบไหว้ร้องให้ช่วยด้วยขอรับ | ||
ทั้งเจ้าเมืองกรมการคลานเข้าหา | แล้วบอกว่ามีคนปล้นไล่ขับ | ||
เดี๋ยวนี้อยู่โรงเหล้าแย่งเอาทรัพย์ | ช้าขยับมันจะไปไม่ได้มัน | ||
แล้วเกล้าผมตรงไปพอได้พบ | มันลี้หลบแอบนิ่งวิ่งถลัน | ||
เอาม้าล้อมควบไล่เกือบไม่ทัน | จึงบอกมันขืนวิ่งกูยิงตาย | ||
ต้องยอมให้จับตัวมันกลัวปืน | นิ่งหยุดยืนกับที่ไม่หนีหาย | ||
คือพวกในกองทัพน่าอับอาย | มาทำร้ายปล้นสดมภ์กรมการ | ||
พวกโคราชคนหนึ่งก็ถึงจิต | มันคบคิดกันมาจึงกล้าหาญ | ||
กับด้วยพวกกองทัพมารับงาน | ซึ่งชาวบ้านตั้งบัญชีตีราคา | ||
รวมเงินตามอยู่ในสามตำลึงเศษ | เรียนตามเหตุที่ลาวเขากล่าวหา | ||
เจ้าคุณได้ทราบพลันมีบัญชา | เอาตัวมาชำระดูให้รู้ความ | ||
อ้ายผู้ร้ายเป็นสัจแล้วซัดเพื่อน | ไม่แชเชือนเรียนรับบังคับถาม | ||
เจ้าคุณทราบระบิลตัดสินความ | ใช้เงินตามของที่ตีราคา | ||
ให้มุลนายออกเงินใช้ให้เจ้าของ | แล้วรับรองตัวพิทักษ์ดูรักษา | ||
แม้นวันได้ชำระจะเอามา | ตะโหงกคาใส่ประจำทำประจาน ฯ | ||
๏ เวลาค่ำย่ำฆ้องตีสองทุ่ม | ผู้คนกลุ้มมี่ฉาวแจ้งข่าวสาร | ||
เห็นพระพิมายหมอบราบมากราบกราน | เชิญซึ่งพานท้องตรามาแต่กรุง | ||
คนกองทัพรู้ข่าววิ่งกราวกรู | อยากจะรู้วิ่งโลดกระโดดผลุง | ||
ต่างคนมาคอยฟังนั่งกันมุง | ใจเฟื่องฟุ้งชักพากันมาฟัง | ||
ฝ่ายเจ้าพระยาแม่ทัพรับท้องตรา | พร้อมบรรดานายทัพมาคับคั่ง | ||
ฉีกผนึกอ่านเสียงสำเนียงดัง | ในข้อบังคับคำล้ำวิไล | ||
ให้กองทัพยับยั้งตั้งนี่ก่อน | อยู่นครราชสีมาอย่าไปไหน | ||
พวกกองทัพโยธีต่างดีใจ | ได้กลับไปโคราชสมมาดปอง | ||
ต่างเปรมปรีดิ์ดีใจจะได้กลับ | นอนไม่หลับยินดีไม่มีสอง | ||
ต่างคนเหิมใจฮึกนึกคะนอง | บ้างโห่ร้องสักรวาเสภาอึง | ||
ที่เหล่าคนเจ็บไข้ไปไม่รอด | ครางออดออดคร้านเกียจนอนเหยียดขึง | ||
ยินข่าวกลับโคราชหวาดคะนึง | ลุกทะลึ่งหายไข้ได้ทันที | ||
เจ้าคุณแจ้งทำนองในท้องตรา | จึงปรึกษาปลื้มเปรมเกษมศรี | ||
ว่าจะทำฉันใดไฉนดี | ท้องตรามีบังคับให้กลับไป | ||
ซึ่งนายทัพนายกองสนองตอบ | ต่างเห็นชอบพร้อมกันเสียงหวั่นไหว | ||
ด้วยต่างคนเปรมปรีดิ์คิดดีใจ | อยากจะใคร่กลับโคราชไม่ขาดคน | ||
ครั้นตีสิบเอ็ดทุ่มคนกลุ้มเกลื่อน | ยกเขยื้อนกองทัพกลับพหล | ||
หยุดพักระยะน้ำหลายตำบล | ประจวบจนถึงโคราชมุ่งมาดมา | ||
สู่ทำเนียบเกยพักสำนักก่อน | สโมสรเกษมสันต์หรรษา | ||
ต่างคนเป็นสุโขทั้งโยธา | พร้อมถ้วนหน้าชุ่มชื่นต่างคืนคง | ||
เมื่อวันหนึ่งจึงเจ้าคุณชำระเรื่อง | อ้ายหกคนปล้นเมืองพุทไธสง | ||
ผูกเฆี่ยนห้าสิบทีตีมันลง | แล้วก็ส่งจำคุกให้ทุกข์ทน | ||
มิให้เป็นเยี่ยงอย่างไปข้างหน้า | พวกพาราเกะกะอกุศล | ||
เฆี่ยนเป็นตัวอย่างไว้แก่ไพร่พล | จะได้ยลเกรงระย่อไม่ก่อการ ฯ | ||
๏ ครั้นถึงวันสิ้นปีเดือนสี่สุด | เป็นวันตรุษปรีดิ์เปรมเกษมศานต์ | ||
โอ้เราเอ๋ยจากมาก็ช้านาน | จะประมาณหกเดือนไม่เคลื่อนคลาย | ||
พวกชาวเมืองว้าวุ่นทำบุญทาน | เกษมศานต์พร้อมพรั่งสิ้นทั้งหลาย | ||
ล้วนแต่งตัวสวยฟ้อก่อพระทราย | ทั้งหญิงชายพร้อมไปไพร่ผู้ดี | ||
กองทัพฝ่ายเราก็ก่อพระทราย | ทั้งไพร่นายปรีดิ์เปรมเกษมศรี | ||
ต่างจัดคนมาทั่ววิ่งวัวดี | เล่นกันที่หน้าทำเนียบเปรียบกันดู | ||
เล่นกันถึงเงินทองต่อรองกัน | วิ่งกันวันมากมายหลายหลายคู่ | ||
เหล่าฝูงคนคับคั่งมาพรั่งพรู | ออกเกรียวกรูไม่เคยเห็นเล่นพนัน | ||
พวกเมืองโคราชมาวิ่งน่าชม | ชื่อว่าอ้ายเทียมลมตัวขยัน | ||
มาวิ่งกับกองทัพรับพนัน | วิ่งเดิมพันชั่งหนึ่งเสียงอึงอล | ||
ชาวโคราชทำป๋อร้องต่อมี่ | หกเอาสี่พวกเรารับร้องสับสน | ||
โคราชหมายมีชัยไม่จำนน | มันต่อล้นสองเอาหนึ่งเล่นถึงใจ | ||
พอตัดเชือกปล่อยหางต่างวางวิ่ง | มันเร็วจริงฉุยฉิวดูหวิวไหว | ||
วัวกองทัพวิ่งดีก็มีชัย | พอฉวยได้ธงแดงแกว่งให้ดู | ||
วัวโคราชวิ่งแต่แพ้กองทัพ | ต่างคนอัปยศแสนอดสู | ||
พวกเราเฮฮาดังวิ่งพรั่งพรู | บางคนรู้เต้นรำทำประจาน | ||
บ้างหัวเราะเยาะเย้าพวกชาวเมือง | นึกโกรธเคืองเมินหน้าไม่ว่าขาน | ||
ชาวเมืองเสียเงินยับอัประมาณ | สนุกสนานที่สุดเมื่อตรุษไทย ฯ | ||
๏ ถึงเดือนสี่หกค่ำจำไว้สิ้น | พระราชรินถึงพลันเสียงหวั่นไหว | ||
เชิญท้องตราเสร็จถึงอีกหนึ่งใบ | กองทัพได้แจ้งข้อวิ่งสอฟัง | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพรับท้องตรา | พร้อมบรรดานายทัพอยู่คับคั่ง | ||
กรมการพร้อมหน้าประดาดัง | ไม่รอรั้งฉีกสารออกอ่านพลัน | ||
ในสารตรามีมาถึงแม่ทัพ | ให้ยกกลับคืนไปไอศวรรย์ | ||
ให้เร่งรัดจัดแจงดูแบ่งปัน | ปัศตันกระสุนปืนคืนนคร | ||
แต่ส่วนหนึ่งให้พระยามหาอำมาตย์ | ตามพระราชดำริสั่งดังอักษร | ||
กรมเขนทองขวาซ้ายนายนิกร | พระราชวังบวรนั้นขึ้นไป | ||
สมทบทัพกับพระยามหาอำมาตย์ | อย่าให้ขาดริ้วทัพบังคับไข | ||
จัดทำนาหาเสบียงพร้อมเพรียงไว้ | อยู่ที่ในหนองคายจงหลายพัน | ||
แล้งปีชวดอัฐศกได้ยกทัพ | เข้าประจญรบรับให้คับขัน | ||
อย่าให้ตั้งมั่วสุมชุมนุมกัน | ในเขตขัณฑ์เมืองพวนให้ควรการ | ||
กรมทหารอีกกองไปหนองคาย | ทั้งไพร่นายสำหรับจัดหัดทหาร | ||
ให้พวกลาวไวว่องคล่องชำนาญ | ประจัญบานรบฮ่อต่อศักดา | ||
แต่กรมพระสัสดีมิให้ขาด | พระพิบูลย์พระชาติปีกซ้ายขวา | ||
กรมเรือกันทั้งสองตามท้องตรา | บังคับมาเสร็จสรรพให้กลับไป | ||
แต่กรมพลพรรค์นั้นมีแจ้ง | กรมแสงเสร็จสรรพบังคับไข | ||
จงยกกลับพร้อมเพรียงคืนเวียงชัย | ต่างดีใจได้สมอารมณ์ปอง | ||
น่าสงสารพวกที่ต้องไปหนองคาย | ทั้งไพร่นายง่วงเหงาจิตเศร้าหมอง | ||
อนิจจาน่าสังเวชน้ำเนตรนอง | ทุกหมวดกองเหงาหงอยโศกสร้อยครวญ | ||
ข้างพวกเรานั้นไซร้จะได้กลับ | ทั้งกองทัพฮาลั่นเสียงสันต์สรวล | ||
เอิกเกริกเริงร่าน่าสำรวล | แต่แล้วล้วนกลับคืนหน้าชื่นบาน | ||
แต่เจ้าคุณแม่ทัพจะกลับถิ่น | จิตถวิลใจพะวงคิดสงสาร | ||
จะพลัดพรากจากไปอาลัยลาน | เหล่าทหารที่จะต้องไปหนองคาย | ||
เคยร่วมสุขทุกข์ยากจะจากกัน | จะนับวันว่างเว้นำม่เห็นหาย | ||
สงสารด้วยพหลพลนิกาย | จะแพร่งพรายพลัดไปไกลกันดาร | ||
แล้วท่านจัดพร้อมเพรียงเสบียงกรัง | ขนมปังกินยืดทั้งจืดหวาน | ||
ปลาซาดินอินทผาลำทั้งน้ำตาล | ท่านเจือจานแจกจ่ายทุกนายพล | ||
ทั้งพริกเกลือเยื่อเคยนมเนยนอก | แล้วสั่งบอกไพร่มารับอยู่สับสน | ||
ซึ่งข้าวของกองคละอยู่ปะปน | ผู้คนขนคนละกองของดีดี ฯ | ||
๏ ครั้นเดือนห้าล่วงเข้าขึ้นเก้าค่ำ | เป็นวันกำหนดทัพกลับกรุงศรี | ||
ทั้งนายไพร่สุขเกษมจิตเปรมปรีดิ์ | เสียงอึงมี่พร้อมพรักคึกคักคน | ||
พวกจะไปหนองคายผันผายมา | เข้าอำลาคำนับน้อมจอมพหล | ||
ต่างตรมตรองหมองมัวทุกตัวคน | เนตรนองชลธาราให้อาวรณ์ | ||
ท่านเจ้าคุณออกรับสดับคำ | ท่านก็ร่ำวาจังกล่าวสั่งสอน | ||
แล้วเลยร่ำคำประภาษประสาทพร | กล่าวสุนทรโดยตามความอาลัย | ||
เดิมท่านอยู่พร้อมหน้าข้าพเจ้า | บัดนี้เล่ามีกรรมทำไฉน | ||
ต่างคนเราต่างจะห่างไป | โดยแต่ในวันนี้ลับลี้กัน | ||
พวกท่านไปได้ลำบากความยากเย็น | จงให้เป็นสามัคคีดีขยัน | ||
อย่าถือเปรียบตั้งปึ่งทำขึ้งกัน | จงหมายมั่นราชการอย่าคร้านใจ | ||
ต่างคนทำอำลาหน้าสลด | ต่างกำสรดหม่นหมองไม่ผ่องใส | ||
แสนโศกเศร้าโศกาด้วยอาลัย | ต่างก็ไปเตรียมตัวทั่วทุกนาย | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพขยับย่าง | มาขึ้นช้างพร้อมพหลพลทั้งหลาย | ||
เหลียวหลังดูผู้ที่ต้องไปหนองคาย | ท่านไม่วายอาวรณ์ถอนฤทัย | ||
ครั้นได้ฤกษ์แล้วให้เบิกกระบวนทัพ | ยกพลกลับพร้อมกันเสียงหวั่นไหว | ||
พวกกองทัพโยธีต่างดีใจ | ด้วยจะได้กลับบ้านสำราญมา | ||
พวกชาวเมืองเนืองหน้าออกมาดู | ยืนเป็นหมู่เรียงรายทั้งซ้ายขวา | ||
บ้างตามส่งกองทัพจนลับตา | ด้วยคบหารักใคร่พอใจกัน | ||
เดินกองทัพมาทางโพกลางตรง | พระสุริยงแสงสายรีบผายผัน | ||
พ้นบ้านย่านยาวราวอรัญ | มุ่งหมายมั่นที่พักสำนักพล | ||
ครั้นถึงที่เขาลาดอาวาสใหญ่ | หนุดอาศัยสำนักพักพหล | ||
บ้างปลดม้าปลงช้างแล้วต่างคน | อาศัยต้นร่มไม้ใบกำบัง | ||
ท่านเจ้าคุณอาศัยในศาลา | อยู่ยังอารามใหญ่ด้วยใจหวัง | ||
พร้อมพหลโยธาประดาดัง | เข้ายับยั้งอยู่หน้าพระอาราม | ||
ท่านเจ้าคุณมีศรัทธาปัญญายง | นิมนต์สงฆ์หวังผลกุศลสาม | ||
ทั้งสี่วัดให้มาทั้งอาราม | ด้วยมีความเจตนาศรัทธาทำ | ||
เชิญพระบรมทนต์สู่บนพาน | เครื่องสการแลสลอนวางซ้อนสำ | ||
พระสงฆ์มาติกาครบพอจบคำ | สมภารนำพระขยับสดับปกรณ์ | ||
เจ้าคุณถวายปัจจัยให้พระสงฆ์ | ถ้วนทุกองค์นั่งรับสลับสลอน | ||
แล้วแจกเงินศิษย์วัดจัดเป็นตอน | ที่ฝึกสอนคิดเขียนร่ำเรียนมา | ||
ครั้นเสร็จสรรพสดับปกรณ์แล้ว | ก็คลาดแคล้วเข้าในไพรพฤกษา | ||
ออกทุ่งเข้าทางกลางวนา | พระสุริยาเย็นย่ำลงรำไร | ||
ถึงหนองตะแบกหยุดพักสำนักแรม | พระจันทร์แจ่มกระจ่างสว่างไสว | ||
เอาเสื่อปูพรมลาดคาดผ้าใบ | ที่อาศัยแห่งเจ้าคุณและมุลนาย | ||
พวกกองทัพยับยั้งอยู่ทั้งสิ้น | หุงต้มกินกันเป็นทิวหิวใจหาย | ||
ครั้นเสร็จสรรพหลับนอนผ่อนสบาย | พอจวนงายแสงสว่างกลางอัมพร | ||
ก็เดินกองทัพมาคับคั่ง | ไม่รอรั้งรีบรุดไม่หยุดหย่อน | ||
ถึงสองเนินเดินทุ่งหมายมุ่งจร | หยุดพักร้อนริมฝั่งน้ำลำตะคลอง | ||
พวกชาวบ้านมาพร้อมพรั่งมาคั่งคับ | หาสำรับจัดเอาซึ่งข้าวของ | ||
ข้าวเหนียวปั้นปลาร้าผักต้มฟักทอง | คนละสองสามชามตามกำลัง | ||
เป็นมากมายเหลือเล่ห์คะเนนับ | เคยได้รับเงินเฟื้องแต่เบื้องหลัง | ||
จึงชักชวนกันมาประดาดัง | มากกว่าครั้งคราก่อนเมื่อจรมา | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพนับเงินให้ | พวกลาวได้สมมาดปรารถนา | ||
คนกองทัพยกสำรับทั้งข้าวปลา | ด้วยเวลาแสบท้องหาของกิน | ||
เมื่อหยุดทัพโยธาพลากร | ตะวันรอนอ่อนแสงพระสุรีย์สิ้น | ||
ฝนชะอุ่มกลุ้มฟ้าเมฆาฆิน | ผูกพร้อมหมดคชสินทร์กุญชรชาญ | ||
เคลื่อนโยธีจากที่สำนักพัก | ดูพร้อมพรักด้วยพหบพลทหาร | ||
ต่างคนเริงรื่นชื่นสำราญ | เดินไม่นานข้ามน้ำลำตะคลอง | ||
ถึงทางแยกมรคาพระยาไฟ | แยกหนึ่งไปพระยากลางเป็นทางสอง | ||
ท่านเจ้าคุณการุณไพร่ด้วยใจปอง | ได้ตรึกตรองไว้แต่เดิมเมื่อเริ่มมา | ||
เพราะเห็นว่าวลาหกตกไม่ห่าง | จะไปทางพระยาไฟเกรงไข้ป่า | ||
ด้วยทางดงพระยาเย็นเป็นระอา | กลัวโยธาเดินทางจะวางวาย | ||
เมื่อขึ้นมาพหลมาป่นปี้ | ถูกไข้ผีป่ากิ้นเสียสิ้นหลาย | ||
เมื่อขากลับจะต้องกันอันตราย | เดินอยกย้ายมรคาหามงคล | ||
จึงได้ยกพลไพร่ไปโดยทาง | พระยากลางถึงว่าจะต้องห่าฝน | ||
ก็ไม่เกิดความไข้แก่ไพร่พล | ทางไม่ย่นติดจะยาวถึงเก้าวัน | ||
เดินทางมาในกลางพนาวาส | ถึงยังเมืองโคราชดูคับขัน | ||
เป็นเมืองแก่แต่บุราณมานานครัน | เดี๋ยวนี้นั้นกลายเป็นชาวนาคร | ||
เชิงเทินดินสูงเด่นเช่นผู้เฒ่า | เป็นเมืองเก่าแรกสร้างแต่ปางก่อน | ||
แข็งแรงกำแพงรอบขอบนคร | ดูถาวรแต่งตั้งแต่ครั้งใด | ||
เดินทัพเข้าทางผ่านกลางเมือง | แลชำเลืองพฤกษาป่าไสว | ||
ถามกรมการว่ากว้างทางเท่าไร | พวกวัดได้ห้าสิบเส้นนับเป็นวา | ||
เดินทางมาไม่นานประมาณครู่ | ออกประตูตะวันตกรกพฤกษา | ||
เจ้าคุณหยุดช้างอยู่ทำบูชา | ซึ่งเทวาอารักษ์โดยภักดี | ||
สิงสถิตที่เรืองในเมืองเก่า | จงช่วยเป่าปัดร้ายในไพรศรี | ||
อย่าให้โทษพารามายายี | ให้โยธีกองทัพได้อับจน | ||
ครั้นเสร็จทำบูชาศีลาเลื่อน | รีบคลาเคลื่อนกองทัพมาสับสน | ||
แสวงที่หยุดพักสำนักพล | พระสุริยนเย็นย่ำลงรำไร | ||
ครั้นถึงหนองบัวบานบ้านแก่นท้าว | มีหนองยาวเวิ้งว้างทั้งกว้างใหญ่ | ||
ก็พักหยุดกองทัพโดยฉับไว | เป็นสมัยมืดค่ำฝนพรำพรม | ||
พวกชาวบ้านชักพากันมาวุ่น | หาเจ้าคุณพูดสำเนียงยิ่งเสียงขรม | ||
ว่าอยากเห็นเจ้าคุณบุญอุดม | ขอเชยชมบุญญาบารมี | ||
ท่านเจ้าคุณแม่ทัพออกรับหน้า | เอาเงินตราแจกลาวชาววิถี | ||
แล้วพูดจาถามทักโดยภักดี | พวกลาวลีลากลับไปฉับพลัน | ||
ครั้นรุ่งแสงสุริยาฟ้าพะยับ | ยกกองทัพเดินทางกลางไพรสัณฑ์ | ||
ไม่หยุดยั้งแรมราราวอารัญ | พระสุริยันสายแสงแจ้งอัมพร ฯ | ||
๏ ถึงบ้านหนองบัวมีที่ทำเนียบ | หยุดประเทียบช้างสำนักเข้าพักผ่อน | ||
หุงข้าวปลาหากินทินกร | จะเร่งร้อนรีบเดินดำเนินพล | ||
เพราะด้วยน้ำเบื้องหน้านั้นหายาก | จะลำบากแก่สัตว์เพราะขัดสน | ||
ซึ่งโคต่างช้างมาบรรดาคน | จะอับจนด้วยน้ำจำครรไล | ||
ครั้นเสร็จเสพโภชนาเวลาสาย | ทั้งไพร่นายพร้อมกันเสียงหวั่นไหว | ||
ก็เร่งผูกช้างม้ารีบคลาไคล | ยกเข้าในป่ารังไม่รั้งรอ | ||
ก็รีบเดินกองทัพมาฉับเฉียว | ไม่ลดเลี้ยวมุ่งมาดมาปราดปร๋อ | ||
น้ำไม่มีติดกระบอกจะกรอกคอ | คนเดินท้อถอยหลังประทังตน | ||
ทินกรร้อนนักบ่ายสักโมง | ถึงวังโล่งหยุดสำนักพักพหล | ||
มีแอ่งน้ำพอได้อาศัยคน | แต่เต็มทนกล้ำกลืนเหม็นขื่นคาว | ||
มีอีกแห่งหนึ่งลึกถึงวา | กว้างสักห้าหกศอกน้ำออกขาว | ||
มีน้ำพออาศัยไม่ใหญ่ยาว | ปะเมื่อคราวมีการกันดารเดิน | ||
เจ้าคุณบัญชาสั่งทั้งกองทัพ | ท่านกำชับด้วยทางยังห่างเหิน | ||
น้ำข้างหน้าหายากลำบากเกิน | ใครอย่าเลินเล่อจิตชีวิตวาย | ||
ตักน้ำใส่กระบอกไปจงให้ทั่ว | สำหรับตัวจะได้กินสิ้นทั้งหลาย | ||
ด้วยยามแล้งแห้งหมดจะอดตาย | เร่งขวนขวายน้ำกรอกกระบอกไป | ||
พวกกองทัพรับบัญชาหากระบอก | บ้างตัดไม่ไผ่ปอกอยู่ขวักไขว่ | ||
เสียงเปาะเปกโปกปากถากไวไว | คนละใบสองกระบอกเสียงออกอึง | ||
ต่างหาน้ำเตรียมตัวทั่วทุกหมู่ | หยุดพักอยู่วังโล่งสักโมงครึ่ง | ||
สำเร็จกิจทั้งหลายวายคะนึง | เสร็จแล้วจึงออกเดินดำเนินพล | ||
เจ้าคุณมาบนช้างทางคะนึง | ร่ำบ่นถึงเทวดาขอฟ้าฝน | ||
ด้วยมาที่แคบคับจวนอับจน | ด้วยขัดสนด้วยน้ำคิดรำพึง | ||
แล้วคิดถึงคุณทูลกระหม่อมพระจอมเกล้า | ระลึกเอาเป็นต้นเฝ้าบ่นถึง | ||
ด้วยเป็นที่นับถือไม่ดื้อดึง | โปรดนำซึ่งวลาหกมาตกลง | ||
ได้อาศัยน้ำฝนคนและสัตว์ | ไม่ข้องขัดสมตามความประสงค์ | ||
จะได้ดับคับแค้นในแดนดง | ขอฝนจงตกให้ทันในวันเดียว | ||
ก็เร่งเดินรีบรุดไม่หยุดหย่อน | ถึงบ้านใหม่แกงร้อนโดยฉับเฉียว | ||
พอเกิดลมบ้าหมูมากรูเกรียว | พอฝนเขียวลมปลิวละลิ่วลอย ฯ | ||
๏ ถึงทำเนียบช้างประเทียบประทับพัก | หยุดสำนักที่ทำเนียบรอพอสักหน่อย | ||
พิรุณร่วงรุดโรยลงโปรยปรอย | ฝูงคนคอยมุ่งมองที่รองราย | ||
พอสักครู่ซู่ซ่าลงมาใหญ่ | ต่างรองได้น้ำฝนคนละหลาย | ||
คนและสัตว์น้อยใหญ่ได้สบาย | ครั้นฝนหายเหือดพลันในทันใด | ||
ที่ท้องห้วยลำธารในย่านหนทาง | ท่วมท้องช้างลงพังพาบอาบอาศัย | ||
ทั้งช้างโคกล้ำกลืนได้ชื่นใจ | มีแรงไปภายหน้าได้วาริน ฯ | ||
๏ พอเช้ามืดตีสิบเอ็ดพร้อมเสร็จสรรพ | ยกกองทัพเดินไปในไพรสิน | ||
รีบเร่งเดินลัดหลีกดังปีกบิน | ตั้งพักกินข้าวปลาข้างหน้าทาง | ||
ครั้นอรุณรุ่งฟ้าเวลาเช้า | เกือบจะเข้าปากดงตรงสว่าง | ||
ก็เดินดงตรงผ่าพระยากลาง | ในหนทางรกหนาลดาวัลย์ | ||
ในดงทึบดูทั่วคลุ้มมัวมืด | เป็นพงพืดซ้อนซับทางคับขัน | ||
เร่งรีบเดินเพลินมาในอารัญ | รีบผายผันโดยยากออกปากดง | ||
สักสามโมงเศษสังเกตไว้ | ก็พ้นพงดงใหญ่ไพรระหง | ||
เดินเลียบเนินเขาใหญ่ไถลลง | หนทางตรงรีบเดินดำเนินพล | ||
ข้ามเขาเหวตาบัวน่ากลัวโข | ดูใหญ่โตสูงเยี่ยมเทียมเวหน | ||
มีเขาใหญ่สูงชันอยู่ชั้นบน | แลเหลือบยลแหงนฟ้าดูตาลาย | ||
จำเพาะมีมรคาสองวาศอก | แลเป็นหมอกมืดมิดใจจิตหาย | ||
ข้างขวามือเขาชันกีดกั้นราย | ข้างเบื้องซ้ายเหวลึกคิดนึกกลัว | ||
จะลึกสักเท่าไรเร่าไม่รู้ | ไม่อาจดูขนพองสยองหัว | ||
แม้นตกลงคงเหลวเหวตาบัว | ระวังตัวพลัดตกหกคะมำ | ||
หนทางเดินลึกไกลไถลตรง | กลัวช้างลงเดินเลียบเหยียบถลำ | ||
ช้างเดินลากขาหลังมันช่างทำ | กูบเอียงคว่ำข้างหน้าเมื่อขาลง | ||
ถึงที่ต่ำข้ามลำพระยากลาง | เข้าเดินทางทิวไม้ไพรระหง | ||
เข้าแขวงเมืองบัวชุมเห็นพุ่มพง | ตัดทางตรงมาทำเนียบประเทียบพัก | ||
อยู่เชิงเขาบังเหยลมเชยฉ่ำ | ริมฝั่งน้ำพระยากลางต่างประจักษ์ | ||
คนหิวจริงวิงเวียนเจียนจะชัก | ถึงบ่ายสักสามโมงท้องโล่งมา | ||
ด้วยอดข้าวเช้าหิวใจหวิววุ่น | จิตฉิวฉุนโมโหเกิดโทสา | ||
บ้างทิ้งหาบผลุงหุงข้าวแล้วเผาปลา | พวกโยธาพักผ่อนอ่อนกำลัง | ||
เลยพักแรมอยู่นั้นไม่ผันผาย | ด้วยวัวควายช้างม้าเดินล้าหลัง | ||
ไม่รีบรุดหยุดหย่อนผ่อนประทัง | ก็ยับยั้งที่นั่นไม่ผันแปร | ||
ครั้นพลบค่ำสนธยาย่ำราตรี | นั่งชมสีแสงสว่างกระจ่างแข | ||
ค่อยส่างโศกโรครำคาญฤดานแด | อากาศที่นี่ดีแท้หอมรื่นรวน | ||
ลมพระพายชายเชยรำเพยผิว | เย็นฉิวฉิวน้ำค้างพรมเมื่อลมหวน | ||
หอมระเรื่อยเฉื่อยฉ่ำกลิ่นลำดวน | เมื่อจะจวนรุ่งแจ้งแสงหิรัญ | ||
พอสว่างสุริยาส่องอากาศ | เสร็จคลาคลาดกองทัพโดยคับขัน | ||
เดินทางมรคาพนาวัน | พระสุริยันแรงร้อนอ่อนกำลัง | ||
ข้ามลำพระยากลางเรียกว่าท่ามะกอก | แล้วเดินออกทุ่งใหญ่ด้วยใจหวัง | ||
พินิจชมพฤกษาล้วนป่ารัง | แลสะพรั่งดูเพลินจำเริญใจ | ||
ข้ามลำพระยากลางชื่อว่าท่ามะกอ | ก็หยุดรอพักร้อนผ่อนอาศัย | ||
ครั้นอ่อนแสงสุริยาก็คลาไคล | ยกครรไลออกทางชมยางยูง | ||
ข้ามลำน้ำสันนทีต้องปริปาก | ช้างเดินยากจริงจริงตลิ่งสูง | ||
ลางคนเดินจดจ้องบ้างต้องจูง | ที่เหล่าฝูงคนเดินเกินระอา ฯ | ||
๏ ถึงท่าปูนแรมสำนักพักอยู่ที่นั่น | ครั้นสุริยันสว่างกลางเวหา | ||
ก็ออกเดินกองทัพคับคั่งมา | กำนันพานำทางไม่คลางแคลง | ||
เข้าป่ารังบังร่มพระสุริยน | เสร็จเดินพลข้ามลำแม่น้ำแห้ง | ||
เรียกลำสันนทีใหญ่ไม่ระแวง | บ้านประแดงจองกอพอกลางวัน ฯ | ||
๏ ถึงท่าฉางลำสักหยุดพักร้อน | สโมสรปรีดิ์เปรมเกษมสันต์ | ||
เหล่ากรมการเมืองบัวชุมมากลุ้มกัน | ของกำนัลมาคำนับรับเจ้าคุณ | ||
เจ้าพระยาแม่ทัพออกรับรอง | ซึ่งข้าวของกำนัลไม่หันหุน | ||
ท่านนับเงินตราให้ช่วยใช้ทุน | มิให้บึญคุณติดด้วยคิดอาย | ||
ซึ่งข้าวสารราคาตั้งให้ถังหนึ่ง | สองสลึงราคาชาวนาขาย | ||
ซ้ำแจกเงินให้เขาท้ังบ่าวนาย | ทั้งหญิงชายตามประดามาด้วยกัน | ||
อีกเสื้อผ้าแจกให้ขอบใจเขา | คิดจะเอาบุญคุณไม่หุนหัน | ||
กรมการดีใจได้รางวัล | แล้วผายผันเสร็จกลับคำนับลา | ||
ครั้นว่าบ่ายลมตกยกขยับ | เดินกองทัพเข้าในไพรพฤกษา | ||
เห็นเขาใหญ่ขวางกั้นอรัญญา | ชื่อเขาตากลิ้งขวางหนทางจร | ||
เห็นคิรีดีแท้แลคล้ายคล้าย | นึกไม่วายหายกริ่งรูปสิงขร | ||
แลแต่ไกลชอบกลเหมือนคนนอน | มีกายกรไหล่หัวตัวและมือ | ||
เขาว่าสังกรณีตรีชวา | บนยอดผาตากริ่งมีจริงหรือ | ||
เป็นแต่คำคนเขามาเล่าลือ | หาตัวคือใครได้ก็ไม่มี ฯ | ||
๏ ถึงท่าสำโรงสำลักจวนจักค่ำ | ต่างข้ามน้ำปลื้มเปรมเกษมศรี | ||
ข้ามตรงตื้นพื้นทรายสบายดี | ดูวารีใสสะอาดมีหาดทราย | ||
เขาว่ามีจระเข้เดรัจฉาน | ตัวประมาณโตใหญ่ดุใจหาย | ||
ถ้ำมันเนาอยู่ในเขาตากับยาย | ด้วยเชิงชายเขายั้งกระทั่งธาร | ||
เสร็จข้ามน้ำลำสักหยุดพักเนา | ริมเชิงเขาตากับยายชายละหาน | ||
เข้าเขตแขวงเมืองไทยไชยบาดาล | กรมการมาคำนับคอยรับรอง | ||
พักแรมทัพอยู่ที่นั่นไม่ผันผาย | ครั้นจวนงายพร้อมพรั่งพลทั้งผอง | ||
จวนอรุณรุ่งแจ้งเรื่อแสงทอง | ออกเดินกองทัพใหญ่ครรไลจร | ||
ถึงที่ห้วยเดินข้ามถึงสามแห่ง | สุริย์แสงส่องฟ้าระอาอ่อน | ||
กึ่งท่าลาวลำสักพักนิกร | สำนักผ่อนพอประทังกำลังตน | ||
เหล่าพวกชาวนิคมกรมการ | ในเมืองไชยบาดาลมาสับสน | ||
พร้อมทั้งบ่าวทั้งนายมาหลายคน | ด้วยกังวนคอยรับกองทัพมา | ||
เจ้าคุณแจกเงินให้ไม่เสียดาย | ทั้งบ่าวนายสมมาดปรารถนา | ||
บ่ายลมตกเดินได้ก็ไคลคลา | ยกโยธากองทัพเลยลับไป | ||
ถึงบ้านโคกถลุงเป็นทุ่งกว้าง | คนมาสร้างเคหาอยู่อาศัย | ||
มีเรือนหลายสิบหลังชั่งกระไร | มาอยู่ในกลางป่าทำนากิน | ||
เจ้าคุณเลือกเงินขาวขาวแจกชาวบ้าน | กระทำทานสุดจะนับเสียทรัพย์สิน | ||
ชาวบ้านได้เงินตราไม่ราคิน | ต่างคนยินดีได้ดังใจจง ฯ | ||
๏ ครั้นกองทัพล่วงพ้นตำบลบ้าน | เข้าเชิงชานเขาใหญ่ไพรระหง | ||
เป็นเหลี่ยมคูลดหลั่นสูงชันตรง | ชื่อเขาพระยาเดินธงอยู่ริมทาง | ||
เข้าประเทศเขตเบื้องเมืองพระบาท | รีบคลาคลาดพ้นเขาลำเนาขวาง | ||
ล้วนป่าไม้ใหญ่สูงต้นยูงยาง | ต้นแคคางเคี่ยมมะค่าพญารัง | ||
ครั้นถึงหนองกระดี่ที่สำนัก | ก็แรมพักหยุดทัพคนคับคั่ง | ||
ล้วนอ่อนพับหลับนอนอ่อนประทัง | ครั้นรุ่งรังสีสว่างกระจ่างพราว | ||
เสร็จคลาเคลื่อนเขยื้อนยกขยับ | เดินกองทัพโยธีเสียงมี่ฉาว | ||
เหล่าคนเดินพรั่งพรูมากรูกราว | เสียงฝีเท้าคนสะเทื้อนเมื่อเคลื่อนคลา | ||
เข้าปากดงวังส้มร่มชอุ่ม | ด้วยยางพุ่มไสวใบพฤกษา | ||
บังแฝงแสงสีสุริยา | ที่ในป่าดงคลุ้มชอุ่มมัว | ||
ศิลาหลายอย่างต่างต่างสี | อยู่ในพื้นปฐพีตลอดทั่ว | ||
มาตั้งทำหินได้แล้วไม่กลัว | คงเอาตัวรอดได้เห็นไม่จน | ||
ไม่ต้องใช้หินฝรั่งแล้วครั้งนี้ | เมืองไทยมีมากถนัดไม่ขัดสน | ||
ถ้าทำวังทำวัดแล้วจัดคน | ขึ้นมาขนส่งไปเห็นได้การ | ||
ด้วยหินอ่อนลายสะอาดประหลาดเหลือ | งามทั้งเนื้อละเอียดดีสีสัณฐาน | ||
มีมากมายหลายล้นพ้นประมาณ | จะทำบ้านปูวัดไม่ขัดเลย | ||
เจ้าคุณให้คนสำรวจตรวจดูทั่ว | เก็บเอาตัวอย่างมาไม่ชาเฉย | ||
ให้พวกช่างหินดูที่ผู้เคย | ก็ชมเชยเนื้อศิลาไม่ราคิน ฯ | ||
๏ มาถึงดงบ่อทองมองเขม้น | ไม่แลเห็นทองจิตคิดถวิล | ||
เขาว่ามีอยู่ในใต้แผ่นดิน | แต่ล้วนหินคนจะขุดก็สุดแรง | ||
แต่ก่อนมาคนปองขุดทองคำ | ครั้นทำทำขุดพบกระทบแข็ง | ||
ทั้งโตทั้งหนาศิลาแดง | เอาชะแลงเข้าขุดสุดกำลัง | ||
สิ้นมานะจึงได้ละไม่ลงขุด | เพราะสิ้นสุดความคิดที่จิตหวัง | ||
คนเราทุกวันนี้ไม่อินัง | ทองอยู่ทั้งดงใหญ่ไม่นำพา ฯ | ||
. | |||
. | |||
. | |||
ล้วนความจริงไม่แกล้งมาแต่งปด | ได้จำจดผูกพันจนวันกลับ | ||
ถึงความร้ายการดีที่ลี้ลับ | ได้สดับเรื่องหมดจดจำมา | ||
ซึ่งบางพวกไม่ได้ขึ้นไปทัพ | บางคนกลับผูกจิตริษยา | ||
แล้วกล่าวโทษติฉินแกล้งนินทา | ค่อนขอดว่ากองทัพเสียยับเยิน | ||
. | |||
. | |||
. | |||
เชิงอรรถ
ที่มา
นิราศหนองคาย ของ หลวงพัฒนพงศ์ภักดี (ทิม สุขยางค์) พิมพ์ครั้งที่ ๔ ไทยวัฒนาพานิช พ.ศ. ๒๕๔๔