นิราศเมืà¸à¸‡à¹€à¸žà¸Šà¸£
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == หมวดหมู่:วรรณคดีไทย [[หมวดหมู่…') |
(→ข้อมูลเบื้องต้น) |
||
(การแก้ไขหนึ่งรุ่นระหว่างรุ่นที่เปรียบเทียบไม่แสดงผล) | |||
แถว 1: | แถว 1: | ||
== ข้อมูลเบื้องต้น == | == ข้อมูลเบื้องต้น == | ||
+ | {{เรียงลำดับ|นิราศมเืองพเชร}} | ||
[[หมวดหมู่:วรรณคดีไทย]] | [[หมวดหมู่:วรรณคดีไทย]] | ||
[[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]] | [[หมวดหมู่:วรรณคดีรัตนโกสินทร์]] | ||
แถว 5: | แถว 6: | ||
[[หมวดหมู่:นิราศ]] | [[หมวดหมู่:นิราศ]] | ||
'''ผู้แต่ง:''' [[สุนทรภู่]] | '''ผู้แต่ง:''' [[สุนทรภู่]] | ||
+ | |||
== บทประพันธ์ == | == บทประพันธ์ == | ||
<tpoem> | <tpoem> | ||
+ | ๏ โอ้รอนรอนอ่อนแสงพระสุริย์ฉาย | ||
+ | ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างลงพร่างพราย พระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน | ||
+ | อนาถหนาวคราวอาสาเสด็จ ไปเมืองเพชรบุรินที่ถิ่นสถาน | ||
+ | ลงนาวาหน้าวัดนมัสการ อธิษฐานถึงคุณกรุณา | ||
+ | ช่วยชุบเลี้ยงเพียงชนกที่ปกเกศ ถึงต่างเขตของประสงค์คงอาสา | ||
+ | จึงจดหมายรายทางกลางคงคา แต่นาวาเลี้ยวล่องเข้าคลองน้อย ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ได้เห็นแต่แพแขกที่แปลกเพศ ขายเครื่องเทศเครื่องไทยได้ใช้สอย | ||
+ | ถึงวัดหงส์เห็นแต่หงส์เสาธงลอย เป็นหงส์ห้อยห่วงธงใช่หงส์ทอง | ||
+ | ถึงวัดพลับลับลี้เป็นที่สงัด เห็นแต่วัดสังข์กระจายไม่วายหมอง | ||
+ | เหมือนกระจายพรายพลัดกำจัดน้อง มาถึงคลองบางลำเจียกสำเหนียกนาม | ||
+ | ลำเจียกเอ๋ยเคยชื่นระรื่นรส ต้องจำอดออมระอาด้วยหนาหนาม | ||
+ | ถึงคลองเตยเตยแตกใบแฉกงาม คิดถึงยามปลูกรักมักเป็นเตย | ||
+ | จนไม่มีที่รักเป็นหลักแหล่ง ต้องคว้างแคว้งคว้าหานิจจาเอ๋ย | ||
+ | โอ้เปลี่ยวใจไร้รักที่จักเชย ชมแต่เตยแตกหนามเมื่อยามโซ | ||
+ | ถึงบางหลวงล่วงล่องเข้าคลองเล็ก ล้วนบ้านเจ๊กขายหมูอยู่อักโข | ||
+ | เมียขาวขาวสาวสวยล้วนรายโป หัวอกโอ้อายใจมิใช่เล็ก | ||
+ | ไทยเหมือนกันครั้นว่าขอเอาหอห้อง ต้องขัดข้องแข็งกระด้างเหมือนอย่างเหล็ก | ||
+ | มีเงินงัดคัดง้างเหมือนอย่างเจ๊ก ถึงลวดเหล็กลนร้อนอ่อนละไม ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงวัดบางนางชีมีแต่สงฆ์ ไม่เห็นองค์นางชีอยู่ที่ไหน | ||
+ | หรือหลวงชีมีบ้างเป็นอย่างไร คิดจะใคร่แวะหาปรึกษาชี | ||
+ | ก็มืดค่ำอำลาทิพาวาส เลยลีลาศล่วงทางกลางวิถี | ||
+ | ถึงวัดบางนางนองแม้นน้องมี มาถึงที่ก็จะต้องนองน้ำตา | ||
+ | ตัวคนเดียวเที่ยวเล่นไม่เป็นห่วง แต่เศร้าทรวงสุดหวังที่ฝั่งฝา | ||
+ | ที่เห็นเห็นเป็นแต่ปะได้ประดา ก็ลอบรักลักลาคิดอาลัย | ||
+ | จะแลเหลียวเปลี่ยวเนตรเป็นเขตสวน มะม่วงพรวนหมากมะพร้าวสาวสาวไสว | ||
+ | พฤกษาออกดอกลูกเขาปลูกไว้ หอมดอกไม้กลิ่นกลบอบละออง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ โอ้รื่นรื่นชื่นเชยเช่นเคยหอม เคยถนอมนวลปรางมาหมางหมอง | ||
+ | ถึงบางหว้าอารามนามจอมทอง ดูเรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม | ||
+ | สาธุสะพระองค์มาทรงสร้าง เป็นเยี่ยงอย่างไว้ในภาษาสยาม | ||
+ | ในพระโกศโปรดปรานประทานนาม โอรสราชอารามงามเจริญ | ||
+ | มีเขื่อนรอบขอบคูดูพิลึก กุฏิตึกเก๋งกุฏิ์สุดสรรเสริญ | ||
+ | ที่ริมน้ำทำศาลาไว้น่าเพลิน จนเรือเดินมาถึงทางบางขุนเทียน | ||
+ | โอ้เทียนเอ๋ยเคยแจ้งแสงสว่าง มาหมองหมางมืดมิดตะขวิดตะเขวียน | ||
+ | เหมือนมืดในใจจนต้องวนเวียน ไม่ส่องเทียนให้สว่างหนทางเลย ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ บางประทุนเหมือนประทุนได้อุ่นจิต พอป้องปิดเป็นหลังคานิจจาเอ๋ย | ||
+ | หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย ได้พิงเขนยนอนอุ่นประทุนบัง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงคลองขวางบางระแนะแวะข้างขวา ใครหนอมาแนะแหนกันแต่หลัง | ||
+ | ทุกวันนี้วิตกเพียงอกพัง แนะให้มั่งแล้วก็เห็นจะเป็นการ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงวัดไทรไทรใหญ่ใบชอุ่ม เป็นเซิงซุ้มสาขาพฤกษาศาล | ||
+ | ขอเดชะพระไทรซึ่งชัยชาญ ช่วยอุ้มฉานไปเช่นพระอนิรุธ | ||
+ | ได้ร่วมเตียงเคียงนอนแนบหมอนหนุน พออุ่นอุ่นแล้วก็ดีเป็นที่สุด | ||
+ | จะสังเวยหมูแนมแก้มมนุษย์ เทพบุตรจะได้ชื่นทุกคืนวัน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงบางบอนบอนที่นี่มีแต่ชื่อ เขาเลื่องลือบอนข้างบางยี่ขัน | ||
+ | อันบอนต้นบอนน้ำตาลย่อมหวานมัน แต่ปากคันแก้ไขมิใคร่ฟัง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงวัดกกรกร้างอยู่ข้างซ้าย เป็นรอยรายปืนพม่าที่ฝาผนัง | ||
+ | ถูกทะลุปรุไปแต่ไม่พัง แต่โบสถ์ยังทนปืนอยู่ยืนนาน | ||
+ | แม้นมั่งมีมิให้ร้างจะสร้างฉลอง ให้เรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร | ||
+ | ด้วยที่นี่ที่เคยตั้งโขลนทวาร ได้เบิกบานประตูป่าพนาลัย ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ โอ้อกเอ๋ยเลยออกประตูป่า กำดัดดึกนึกน่าน้ำตาไหล | ||
+ | จะเหลียวหลังสั่งสาราสุดาใด ก็จนใจด้วยไม่มีไมตรีตรึง | ||
+ | ช่างเป็นไรไพร่ผู้ดีก็มิรู้ ใครแลดูเราก็นึกรำลึกถึง | ||
+ | จะปรับไหมได้หรือไม่อื้ออึง เป็นที่พึ่งพาสนาพอพาใจ | ||
+ | โอ้นึกนึกดึกเงียบยะเยียบอก เห็นแต่กกกอปรงเป็นพงไสว | ||
+ | ลดาวัลย์พันพุ่มชอุ่มใบ เรไรไพเราะร้องซ้องสำเนียง | ||
+ | เสียงกรอดเกรียดเขียดกบเข้าขบเขี้ยว เหมือนกรับเกรี้ยวกรอดกรีดวะหวีดเสียง | ||
+ | หริ่งหริ่งแร่แม่ม่ายลองไนเรียง แซ่สำเนียงหนาวในใจรำจวน | ||
+ | เหมือนดนตรีปี่ป่าประสายาก ทั้งสองฟากฟังให้อาลัยหวน | ||
+ | ดังขับขานหวานเสียงสำเนียงนวล เมื่อโอดครวญคราวฟังให้วังเวง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงศีรษะกระบือเป็นชื่อบ้าน ระยะย่านยุงชุมรุมข่มเหง | ||
+ | ทั้งกุมภากล้าหาญเขาพานเกรง ให้วังเวงวิญญาณ์เอกากาย | ||
+ | ถึงศิษย์หามาตามเมื่อยามเปลี่ยว เหมือนมาเดียวแดนไพรน่าใจหาย | ||
+ | ถึงศีรษะละหานเป็นย่านร้าย ข้างฝั่งซ้ายแสมดำเขาทำฟืน | ||
+ | ถึงโคกขามคร้ามใจได้ไต่ถาม โคกมะขามดอกมิใช่อะไรอื่น | ||
+ | ไม่เห็นแจ้งแคลงทางเป็นกลางคืน ยิ่งหนาวชื้นช้ำใจมาในเรือ | ||
+ | ถึงย่านซื่อสมชื่อด้วยซื่อสุด ใจมนุษย์เหมือนกระนี้แล้วดีเหลือ | ||
+ | เป็นป่าปรงพงพุ่มดูครุมเครือ เหมือนซุ้มเสือซ่อนร้ายไว้ภายใน | ||
+ | ถึงบ้านขอมลอมฟืนดูดื่นดาษ มีอาวาสวัดวาที่อาศัย | ||
+ | ออกชะวากปากชลามหาชัย อโณทัยแย้มเยี่ยมเหลี่ยมพระเมรุ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ข้างฝั่งซ้ายชายทะเลเป็นลมคลื่น นภางค์พื้นเผือดแดงดังแสงเสน | ||
+ | แม่น้ำกว้างว้างเวิ้งเป็นเชิงเลน ลำพูเอนอ่อนทอดยอดระย้า | ||
+ | หยุดประทับยับยั้งอยู่ฝั่งซ้าย แสนสบายบังลมร่มรุกขา | ||
+ | บรรดาเรือเหนือใต้ทั้งไปมา คอยคงคาเกลื่อนกลาดไม่ขาดคราว | ||
+ | บ้างหุงต้มงมงายทั้งชายหญิง บ้างแกงปิ้งปากเรียกกันเพรียกฉาว | ||
+ | เสียงแต่ตำน้ำพริกอยู่กริกกราว เหมือนเสียงส้าวเกราะโกร่งที่โรงงาน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ เห็นฝูงลิงวิ่งตามกันสอสอ มาคอยขอโภชนากระยาหาร | ||
+ | คนทั้งหลายชายหญิงทิ้งให้ทาน ต่างลนลานล้วงได้เอาไพล่พลิ้ว | ||
+ | เวทนาวานรอ่อนน้อยน้อย กระจ้อยร่อยกระจิริดจิดจีดจิ๋ว | ||
+ | บ้างเกาะแม่แลโลดกระโดดปลิว ดูหอบหิ้วมิให้ถูกตัวลูกเลย ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งบุตร เพราะแสนสุดเสน่หานิจจาเอ๋ย | ||
+ | ที่ลูกอ่อนป้อนนมนั่งชมเชย กระไรเลยแลเห็นน่าเอ็นดู | ||
+ | แต่ลิงใหญ่อ้ายทโมนมันโลนเหลือ จนชาวเรือเมินหมดด้วยอดสู | ||
+ | ทั้งลิงเผือกเทือกเถามันเจ้าชู้ ใครแลดูมันนักมันยักคิ้ว | ||
+ | บ้างกระโดดโลดหาแต่อาหาร ได้สมานยอดแสมพอแก้หิว | ||
+ | เขาโห่เกรียวประเดี๋ยวใจก็ไพล่พลิ้ว กลับชี้นิ้วให้ดูอดสูตา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ได้ชมเล่นเห็นแต่นกวิหคกลุ้ม เที่ยวดุ่มดุ่มเดินดินกินมัจฉา | ||
+ | กลางสมุทรผุดโผล่ล้วนโลมา ดูหน้าตาแต่ละตัวน่ากลัวเกรง | ||
+ | ล้วนหัวบาตรวาดหางไปกลางคลื่น ศีรษะลื่นเลี่ยนโล่งดูโจ่งเหม่ง | ||
+ | ดูมากมายหลายอย่างยิ่งวางเวง จนน้ำขึ้นครื้นเครงเป็นคราวเรือ | ||
+ | บ้างถอนหลักชักถ่อหัวร่อร่า บ้างก็มาบ้างก็ไปทั้งใต้เหนือ | ||
+ | บ้างขับร้องซ้องสำเนียงจนเสียงเครือ ต่างเลี้ยวเรือลงหน้าบ้านท่าจีน | ||
+ | เป็นประมงหลงละโมบด้วยโลภลาภ ไม่กลัวบาปเลยช่างนับแต่ทรัพย์สิน | ||
+ | ตลิ่งพังฝั่งชลาล้วนปลาตีน ตะกายปีนเลนเล่นออกเป็นแปลง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ในลำคลองสองฟากล้วนจากปลูก ทะลายลูกดอกจากขึ้นฝากแฝง | ||
+ | ต้นจากถูกลูกชิดนั้นติดแพง เขาช่างแปลงชื่อถูกเรียกลูกชิด | ||
+ | ถึงบ้านบ่อกอจากมิอยากสิ้น เหมือนจากถิ่นท่องเที่ยวมาเปลี่ยวจิต | ||
+ | อันใบจากรากกอไม่ขอคิด แต่ลูกชิดชอบใจจะใคร่ชม ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงคลองที่อีรำท่าแร้งเรียก สุดสำเหนียกที่จะถามความปฐม | ||
+ | เขาทำน้ำทำนาปลาอุดม เป็นนิคมเขตบ้านพวกพรานปลา | ||
+ | ที่ปากคลองกองฟืนไว้ดื่นดาษ ดูเกลื่อนกลาดเรียงรายทั้งซ้ายขวา | ||
+ | ถึงบางขวางข้างซ้ายชายชลา ไขคงคาขังน้ำไว้ทำเกลือ | ||
+ | หรือบ้านนี้ที่เขาว่าตำราร่ำ ช่างปั้นน้ำเป็นตัวน่ากลัวเหลือ | ||
+ | ดูครึ้มครึกพฤกษาลดาเครือ ล้วนรกเรื้อรำเริงเป็นเซิงซุ้ม | ||
+ | ตะบูนต้นผลห้อยย้อยระย้า ดาษดาดังหนึ่งผูกด้วยลูกตุ้ม | ||
+ | เป็นคราบน้ำคร่ำคร่าแตกตารุม ดูกระปุ่มกระปิ่มตุ่มติ่มเต็ม | ||
+ | ลำพูรายชายตลิ่งดูกิ่งค้อม มีขวากล้อมแหลมรายดังปลายเข็ม | ||
+ | เห็นปูเปี้ยวเที่ยวไต่กินไคลเค็ม บ้างเก็บเล็มลากก้ามครุ่มคร่ามครัน | ||
+ | โอ้เอ็นดูปูไม่มีซึ่งศีรษะ เท้าระกะก้อมโกงโม่งโค่งขัน | ||
+ | ไม่มีเลือดเชือดฉะปะแต่มัน เป็นเพศพันธุ์ไร้ผัวเพราะมัวเมา | ||
+ | แม้นเมียออกลอกคราบไปคาบเหยื่อ เอามาเผื่อภรรยาเมตตาเขา | ||
+ | ระวังดูอยู่ประจำทุกค่ำเช้า อุตส่าห์เฝ้าฟูมฟักเพราะรักเมีย | ||
+ | ถึงทีผัวตัวลอกพอออกคราบ เมียมันคาบคีบเนื้อเป็นเหยื่อเสีย | ||
+ | จึงเกิดไข่ไร้ผัวเที่ยวยั้วเยี้ย ยังแต่เมียเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยแพ | ||
+ | สมเพชสัตว์ทัศนาพฤกษาสล้าง ล้วนโกงกางกุ่มแกมแซมแสม | ||
+ | สงัดเหงาเปล่าเปลี่ยวเมื่อเหลียวแล เสียงแอ้แจ้จักจั่นหวั่นวิญญาณ์ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงคลองนามสามสิบสองคดคุ้ง ชะวากวุ้งเวียนซ้ายมาฝ่ายขวา | ||
+ | ให้หนูน้อยคอยนับในนาวา แต่หนึ่งมาถ้วนสามสิบสองคด | ||
+ | อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่ เว้นเสียแต่ใจมนุษย์สุดกำหนด | ||
+ | ทั้งลวงล่องอเงี้ยวทั้งเลี้ยวลด ถึงคลองคดก็ยังไม่เหมือนใจคน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงปากช่องคลองชื่อสุนัขหอน ทั้งเรือแพแลสลอนเสลือกสลน | ||
+ | ต่างแข็งข้อถ่อค้ำที่น้ำวน คงคาข้นขุ่นตื้นแต่พื้นเลน | ||
+ | เข้ายัดเยียดเสียดแทรกบ้างแตกหัก บ้างถ่อผลักอึดอัดขัดเขมร | ||
+ | บ้างทุ่มเถียงเสียงหญิงขึ้นเกนเกน ล้วนโคลนเลนเปื้อนเปรอะเลอะทั้งตัว | ||
+ | ที่น้อยตัวผัวเมียลงลากฉุด นางเมียหยุดผัวโกรธเมียโทษผัว | ||
+ | ด้วยยากเย็นเข็นฝืดทั้งมืดมัว พอตึงตัวเต็มเบียดเข้าเสียดแซะ | ||
+ | ทั้งยุงชุมรุมกัดปัดเปรียะประ เสียงผัวะผะพึบพับปุบปับแปะ | ||
+ | ที่เข็นเรียงเคียงลำขยำแขยะ มันเกาะแกะกันจริงจริงหญิงกับชาย ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ จนตกทางบางสะใภ้ครรไลล่อง มีบ้านช่องซ้ายขวาเขาค้าขาย | ||
+ | ปลูกทับทิมริมทางสองข้างราย ไม่เปล่าดายดกระย้าทั้งตาปี | ||
+ | บ้างดิบห่ามงามงอมจนค้อมกิ่ง เป็นดอกติ่งแตกประดับสลับสี | ||
+ | บ้างแตกร้าวพราวเม็ดเพชรโนรี เขาขายดีเก็บได้ใส่กระเชอ | ||
+ | มาตั้งขายฝ่ายเจ้าของไม่ต้องถือ เห็นเรือล่องร้องว่าซื้อทับทิมเหนอ | ||
+ | จะพูดจาคารวะทั้งคะเออ เสียงเหน่อเหน่อหน้าตาน่าเอ็นดู | ||
+ | นึกเสียดายหมายมั่นใคร่พันผูก ไว้เป็นลูกสะใภ้ให้เจ้าหนู | ||
+ | พอนึกหยุดบุตรเราก็เจ้าชู้ อุตส่าห์รู้ร้องต่อจะขอชิม | ||
+ | เขาอายเอียงเมียงเมินทำเดินเฉย ไม่เกินเลยลวนลามงามหงิมหงิม | ||
+ | ได้ตอบต่อล้อเหล่าเจ้าทับทิม พอแย้มยิ้มเฮฮาประสาชาย ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงแม่กลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน น่าสำราญเรือนเรือดูเหลือหลาย | ||
+ | บ้างย่างปลาค่าเคียงเรียงเรียงราย ดูวุ่นวายวิ่งไขว่กันใหญ่น้อย | ||
+ | ขายสำเร็จเป็ดไก่ทั้งไข่พอก กระเบนกระบอกปลาทูทั้งปูหอย | ||
+ | ลูกค้ารับนับกันเป็นพันร้อย ปลาเล็กน้อยขมงโกรยโกยกระบุง | ||
+ | นางแม่ค้าปลาเค็มก็เต็มสวย กำไรรวยรวมประจบจนครบถุง | ||
+ | บ้างเหน็บท้องป่องปุ่ยตุ่ยตุ่ยตุง ต่างบำรุงรูปร่างสำอางตา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ พอออกช่องล่องลำแม่น้ำกว้าง บ้านบางช้างแฉกแชไปแควขวา | ||
+ | ข้างซ้ายตรงลงทะเลพอเวลา พระสุริยามืดมัวทั่วแผ่นดิน | ||
+ | ดูซ้ายขวาป่าปะโลงหวายโป่งเป้ง ให้วังเวงหวั่นไหวฤทัยถวิล | ||
+ | เวลาเย็นเห็นนกวิหคบิน ไปหากินแล้วก็พากันมารัง | ||
+ | บ้างเคียงคู่ชูคอเสียงซ้อแซ้ โอ้แลแลแล้วก็ให้อาลัยหลัง | ||
+ | แม้นร่วมเรือนเหมือนนกที่กกรัง จะได้นั่งแนบข้างเหมือนอย่างนก | ||
+ | นี่กระไรไม่มีเท่ากี่ก้อย โอ้บุญน้อยนึกน่าน้ำตาตก | ||
+ | ต้องลมว่าวหนาวหนังเหมือนคั้งคก จะได้กกกอดใครก็ไม่มี | ||
+ | จนเรือออกนอกอ่าวดูเปล่าโว่ง ทะเลโล่งแลมัวทั่ววิถี | ||
+ | ไม่เห็นหนสนธยาเป็นราตรี แต่ลมดีดาวสว่างกระจ่างตา | ||
+ | สำรวลรื่นคลื่นราบดังปราบเรี่ยม ทั้งน้ำเปี่ยมป่าแสมข้างแควขวา | ||
+ | ดาวกระจายพรายพร่างกลางนภา แสงคงคาเค็มพราวราวกับพลอย | ||
+ | เห็นปลาว่ายกายสล้างกระจ่างแจ่ม แลแอร่มเรืองรุ่งชั้นกุ้งฝอย | ||
+ | เป็นหมู่หมู่ฟูฟ่องขึ้นล่องลอย ตัวน้อยน้อยนางมังกงขมงโกรย | ||
+ | ชื่นอารมณ์ชมปลาเวลาดึก หวนรำลึกแล้วเสียดายไม่วายโหย | ||
+ | แม้นเห็นปลาวารินจะดิ้นโดย ทั้งลมโชยเฉื่อยชื่นระรื่นเย็น | ||
+ | จะเพลินชมยมนาเวหาห้อง เช่นนี้น้องไหนเลยจะเคยเห็น | ||
+ | ทะเลโล่งโว่งว่างน้ำค้างกระเซ็น ดูดาวเด่นดวงสว่างเหมือนอย่างโคม | ||
+ | จะเปรมปรีดิ์ดีใจมิใช่น้อย น้องจะพลอยเพลินอารมณ์ด้วยชมโฉม | ||
+ | โอ้อายจิตคิดรักลักประโลม ทรวงจะโทรมตรงช่องปากคลองโคน | ||
+ | ด้วยมืดค่ำสำคัญที่นั่นแน่ เรียกแสมตายห่าพฤกษาโกร๋น | ||
+ | ลำพูรายชายเลนดูเอนโอน วายุโยนยอดระย้าริมสาคร | ||
+ | หิ่งห้อยจับวับวามอร่ามเหลือง ดูรุ่งเรืองรายจำรัสประภัสสร | ||
+ | เหมือนแหวนก้อยพลอยพรายเมื่อกรายกร ยังอาวรณ์แหวนประดับด้วยลับตา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงคลองช่องล่องเลียบเงียบสงัด เห็นเมฆกลัดกลางทะเลบนเวหา | ||
+ | เสียงโครมครื้นคลื่นกระทั่งฝั่งชลา ลมสลาตันตึงหึ่งหึ่งฮือ | ||
+ | นาวาเหเซหันให้ปั่นป่วน ต้องแจวทวนท้ายหันช่วยกันถือ | ||
+ | ถึงสี่แจวแล้วเรือยังเหลือมือ ลมกระพือพัดโงงดูโคลงเคลง | ||
+ | ทั้งคลื่นซ้ำน้ำซัดให้ปัดปั่น โอ้แต่ชั้นคลื่นลมยังข่มเหง | ||
+ | น่าอายเพื่อนเหมือนคำเขาทำเพลง มาเท้งเต้งเรือลอยน่าน้อยใจ | ||
+ | ยิ่งแจวทวนป่วนปั่นยิ่งหันเห ลมทะเลเหลือจะต้านทานไม่ไหว | ||
+ | เสียงสวบเสยเกยตรงเข้าพงไพร ติดอยู่ใต้ต้นโกงกางแต่กลางคืน | ||
+ | พอจุดเทียนเซี่ยนขันน้ำมันคว่ำ ต้องวิดน้ำนาวาไม่ฝ่าฝืน | ||
+ | เสื่อที่นอนหมอนนวมน้ำท่วมชื้น เหลือแต่ผืนผ้าแพรของแม่น้อง | ||
+ | ได้กันลมห่มหนาวเมื่อเช้าตรู่ ยังรักรู้จักคุณการุญสนอง | ||
+ | ลมรินรินกลิ่นกลบอบละออง ได้ปกครองคุมเครือเมื่อเรือค้าง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ เขาหลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนิท พี่นี้คิดใคร่ครวญจนจวนสว่าง | ||
+ | เสียงนกร้องซ้องแซ่ครอแครคราง ทั้งลิงค่างครอกโครกละโอกโอย | ||
+ | เสียงชะนีที่เหล่าเขายี่สาน วิเวกหวานหวัวหวัวผัวผัวโหวย | ||
+ | หวิวหวิวไหวได้ยินยิ่งดิ้นโดย ชะนีโหยหาคู่ไม่รู้วาย | ||
+ | เหมือนวิตกอกน้องที่ตรองตรึก เหลือรำลึกอาลัยมิใคร่หาย | ||
+ | จะเรียกบ้างอย่างชะนีก็มีอาย ต้องเรียกสายสวาทในใจรำจวน | ||
+ | จนรุ่งแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้น ต้องค้างตื้นติดป่าพากันสรวล | ||
+ | จะเข็นค้ำล้ำเหลือเป็นเรือญวน พอเห็นจวนน้ำขึ้นค่อยชื่นใจ | ||
+ | ต้นแสมแลดูล้วนปูแสม ขึ้นไต่แต่ต้นกิ่งวิ่งไสว | ||
+ | เขาสั่นต้นหล่นผอยผ็อยผ็อยไป ลงมุดใต้ตมเลนเห็นแต่ตา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ โอ้เอ็นดูหนูน้อยร้องหอยเหาะ ขึ้นไปเกาะกิ่งตลอดยอดพฤกษา | ||
+ | ล้วนจุ๊บแจงแผลงฤทธิ์เขาปลิดมา กวักตรงหน้าเรียกให้มันได้ยิน | ||
+ | จุ๊บแจงเอ๋ยเผยฝาหาข้าวเปียก แม่ยายเรียกจะให้ไปกฐิน | ||
+ | ทั้งงวงทั้งงาออกมากิน ช่วยปัดริ้นปัดยุงกระทุงราย | ||
+ | เขาร่ำเรียกเพรียกหูได้ดูเล่น มันอยากเป็นลูกเขยทำเงยหงาย | ||
+ | เยี่ยมออกฟังทั้งตัวกลัวแม่ยาย โอ้นึกอายด้วยจุ๊บแจงแกล้งสำออย | ||
+ | เหมือนจะรู้อยู่ในเล่ห์เสน่หา แต่หากว่าพูดยากเป็นปากหอย | ||
+ | เปรียบเหมือนคนจนทุนทั้งบุญน้อย จะกล่าวถ้อยออกไม่ได้ดังใจนึก | ||
+ | พอลอยลำน้ำมากออกจากป่า ได้แอบอาศัยแสมอยู่แต่ดึก | ||
+ | ในดงฟืนชื่นชุ่มทุกพุ่มพฤกษ์ ผู้ใดนึกฟันฟาดให้คลาดแคล้ว | ||
+ | แล้วเคลื่อนคลาลาจากปากคลองช่อง ไปตามร่องน้ำหลักปักเป็นแถว | ||
+ | ข้ามยี่สานบ้านสองพี่น้องแล้ว ค่อยคล่องแคล่วเข้าชะวากปากตะบูน | ||
+ | น้ำยังน้อยค่อยค้ำพอลำเลื่อน ไม่มีเพื่อนเรือประหลาดช่างขาดสูญ | ||
+ | ในคลองลัดทัศนายิ่งอาดูร เป็นดินพูนพานจะตื้นแต่พื้นโคลน | ||
+ | ป่าปะโลงโกงกางแกมแสม แต่ล้วนแต่ตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น | ||
+ | ตลอดหลามตามตลิ่งล้วนลิงโลน อ้ายทโมนนำหน้าเที่ยวคว้าปู | ||
+ | ครั้นล้วงชุดสุดอย่างเอาหางยอน มันหนีบนอนร้องเกลือกเสือกหัวหู | ||
+ | เพื่อนเข้าคร่าหน้าหลังออกพรั่งพรู ลากเอาปูออกมาได้ไอ้กะโต | ||
+ | ทั้งหอยแครงแมงดามันหาคล่อง ฉีกกระดองกินไข่มิใช่โง่ | ||
+ | ได้อิ่มอ้วนท้วนหมดไม่อดโซ อกเอ๋ยโอ้เอ็นดูหมู่แมงดา | ||
+ | ให้สามีขี่หลังเที่ยวฝั่งแฝง ตามหล้าแหล่งเลนเค็มเล็มภักษา | ||
+ | เขาจับเป็นเห็นสมเพชเวทนา ทิ้งแมงดาผัวเสียเอาเมียไป | ||
+ | ฝ่ายตัวผู้อยู่เดียวเที่ยวไม่รอด เหมือนตาบอดมิได้แจ้งตำแหน่งไหน | ||
+ | ต้องอดอยากจากเมียเสียน้ำใจ ก็บรรลัยแลกลาดดาษดา | ||
+ | แม้นเดี๋ยวนี้มีหญิงไม่ทิ้งผัว ถึงรูปชั่วฉันจะรักให้หนักหนา | ||
+ | โอ้อาลัยใจอย่างนางแมงดา แต่ดูหน้าในมนุษย์เห็นสุดแล ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ จนออกช่องคลองบางตะบูนใหญ่ ล้วนป่าไม้ตีนเป็ดเสม็ดแสม | ||
+ | นกกะลางยางกรอกกระรอกกระแต เสียงซ้อแซ้สองข้างทางกันดาร ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงที่วังตั้งประทับรับเสด็จ มาทรงเบ็ดปลากะโห้ไม่สังหาร | ||
+ | ให้ปล่อยไปในทะเลเอาเพดาน แต่โบราณเรียกว่าองค์พระทรงปลา | ||
+ | แต่เดี๋ยวนี้ที่วังก็รั้งร้าง เป็นรอยทางทุบปราบราบรุกขา | ||
+ | ยังแลเลี่ยนเตียนดีที่พลับพลา นึกระอาอนิจจังไม่ยั่งยืน | ||
+ | เดิมเป็นป่ามาเป็นวังตั้งประทับ แล้วก็กลับไปเป็นป่าไม่ฝ่าฝืน | ||
+ | เหมือนมียศลดลงไม่คงคืน นึกสะอื้นอายใจมาในเรือ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงบางหอหอใครที่ไหนหนอ มาปลูกหอเสน่หาในป่าเสือ | ||
+ | อันย่านนี้ที่บนบกก็รกเรื้อ ทั้งทางเรือจระเข้ก็เฉโก | ||
+ | ถึงเจ้าสาวชาวสวรรค์ฉันไม่อยู่ จะโศกสู้เอกาอนาโถ | ||
+ | ด้วยพรั่นตัวกลัวเสือก็เหลือโซ เห็นแต่โพธิ์ทะเลจระเข้ลอย | ||
+ | ทั้งเหลืองดำคร่ำคร่าล้วนกล้าแกล้ว จนเรือแจวจวนใกล้มิใคร่ถอย | ||
+ | ดูน่ากลัวตัวใหญ่มิใช่น้อย ต่างคนคอยภาวนาอุตส่าห์สำรวม | ||
+ | เห็นนกบินกินปลาล้วนน่ารัก นกปักหลักลงน้ำเสียงต้ำป๋วม | ||
+ | นกกระเต็นเต้นตามนกกามกวม กับเหี้ยต้วมเตี้ยมต่ายตามชายเลน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ไปครู่หนึ่งถึงเขาตะคริวสวาท มีอาวาสวัดวามหาเถร | ||
+ | มะพร้าวรอบขอบที่บริเวณ พอจวนเพลพักร้อนผ่อนสำราญ | ||
+ | กับหนูพัดจัดธูปเทียนดอกไม้ จะขึ้นไหว้พระสัมฤทธิ์พิษฐาน | ||
+ | เขานับถือลืออยู่แต่บุราณ ใครบนบานพระรับช่วยดับร้อน | ||
+ | ขึ้นลานวัดทัศนาดูอาวาส ศิลาลาดเลียบเดินเนินสิงขร | ||
+ | พฤกษาออกดอกช่ออรชร หอมขจรจำปาสารภี | ||
+ | ต้นโพธิ์ไทรไม้งอกตามซอกหิน อินทนิลนางแย้มสอดแซมสี | ||
+ | เหล่าลั่นทมร่มรอบขอบคิรี สุมาลีหล่นกลาดดูดาษดิน | ||
+ | ได้ชมเพลินเดินมาถึงหน้าโบสถ์ สมาโทษถือเทียนเวียนทักษิณ | ||
+ | เคารพสามตามกำหนดหมดมลทิน กับหนูนิลหนูพัดเข้ามัสการ | ||
+ | ได้สรงน้ำชำระพระสัมฤทธิ์ ถวายธูปเทียนอุทิศพิษฐาน | ||
+ | ขอเดชะพระสัมฤทธิ์พิสดาร ท่านเชี่ยวชาญเชิญช่วยด้วยสักครั้ง | ||
+ | ให้ได้แหวนแทนทรงสักวงหนึ่ง กับแพรซึ่งหอมห่มให้สมหวัง | ||
+ | แม้นได้ของสองสิ่งเห็นจริงจัง จะแต่งตั้งบายศรีมีละคร | ||
+ | ทั้งเทียนเงินเทียนทองของเสวย เหมือนเขาเคยบูชาหน้าสิงขร | ||
+ | สาธุสะพระสัมฤทธิ์ประสิทธิ์พร ให้ได้นอนฟูกฟูเหมือนชูชก ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แล้ววันทาลาเลียบลงเหลี่ยมเขา พอบังเงาแดดร่มทั้งลมตก | ||
+ | ออกนาวามาทางบ้านบางครก มะพร้าวดกดูสล้างสองข้างคลอง | ||
+ | มีส้มสูกลูกไม้เหมือนในสวน ตลอดล้วนเรียงรายเรียกขายของ | ||
+ | เขาเลียนล้อต่อถามตามทำนอง ไม่ยิ้มย่องนิดหน่อยอร่อยใจ | ||
+ | จนเรือออกนอกชะวากปากบางครก ต้องเลี้ยววกไปตามลำแม่น้ำไหล | ||
+ | เป็นถิ่นฐานบ้านนาป่ารำไร เขาทำไร่ถั่วผักปลูกฟักแฟง | ||
+ | แต่ฟักทองร้องเรียกว่าน้ำเต้า ฟักเขียวเล่าเรียกว่าขี้พร้าแถลง | ||
+ | ล้วนเลี้ยงวัวทั่วถิ่นได้กินแรง แต่เสียงแปร่งเปรี้ยวหูไม่รู้กลัว | ||
+ | เจ้าสำนวนชวนตีแต่ฝีปาก พูดด้วยยากชาวบางกอกจนกลอกหัว | ||
+ | แสนแสงอนค้อนว่าค่อนด่าวัว เขาตัดหัวแขนห้อยร้อยประการ | ||
+ | ล้วนแช่งซ้ำล้ำเหลืออ้ายเสือขบ ลำเลิกทบทวนชาติเสียงฉาดฉาน | ||
+ | อ้ายวัวเฒ่าเขาล้มคือสมภาร มันขี้คร้านทดข้าวเขาจึ่งแทง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงบ้านใหม่ไถ่ถามตามสงสัย ว่ายังไกลอยู่หรือบ้านท่านขุนแขวง | ||
+ | ไม่บอกก่อนย้อนถามเป็นความแคลง จะพายแรงหรือว่านายจะพายเบา | ||
+ | ถ้าพายหนักสักครู่หนึ่งก็ถึงดอก สำนวนนอกน้ำเพชรแล้วเข็ดเขา | ||
+ | บ้างโห่ฉาวกราวเกรียวเกี่ยวข้าวเบา บ้างตั้งเตาเคี่ยวตาลพานอุดม ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงบางกุ่มหนุ่มแก่สาวแซ่ซ้อง มีบ้านสองฟากข้ามนามประถม | ||
+ | ข้างซ้ายมือชื่อบ้านสะท้านยายนม น่าใคร่ชมชื่นจิตคิดรำพึง | ||
+ | อย่างไรหรือชื่อเช่นนั้นขันหนักหนอ หรือแกล้งล้อจะให้นึกรำลึกถึง | ||
+ | ถึงบ้านโพธิ์โอ้นึกไปลึกซึ้ง เคยมาพึ่งพักร้อนแต่ก่อนไร | ||
+ | กับขุนรองต้องเป็นแพ่งตำแหน่งพี่ สถิตที่ทับนาพออาศัย | ||
+ | เป็นคราวเคราะห์เพราะนางนวลมากวนใจ จึงจำใจให้หมองหมางเพราะขวางคอ | ||
+ | นึกชมบุญขุนรองร้องท่านแพ่ง เธอซ่อมแปลงปลูกทับกลับเป็นหอ | ||
+ | จนผู้เฒ่าเจ้าเมืองนั้นเคืองพอ เพราะล้วงคอเคืองขัดถึงตัดรอน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ โอ้สงสารท่านรองเคยครองรัก เมื่อมาพักบ้านโพธิ์สโมสร | ||
+ | เคยร่วมใจไหนจะร่วมนวมที่นอน ทั้งร่วมร้อนร่วมสุขสนุกสบาย | ||
+ | แต่เดือนสี่ปีระกานิราร้าง ไปอยู่บางกอกไกลกันใจหาย | ||
+ | เห็นถิ่นฐานบ้านเรือนเพื่อนหญิงชาย แสนเสียดายดูหน้านึกอาลัย ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุนนาค เมื่อยามยากจนมาได้อาศัย | ||
+ | มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล มาทำไร่ทำนาท่านการุญ | ||
+ | เมื่อเจ็บป่วยช่วยรักษาจะหาคู่ จะขอสู่ให้เป็นเนื้อช่วยเกื้อหนุน | ||
+ | ยังยากไร้ไม่มีของสนองคุณ ขอแบ่งบุญให้ท่านทั่วทุกตัวตน | ||
+ | ทั้งนารีที่ได้รักลักรำลึก เป็นแต่นึกลับหลังหลายครั้งหน | ||
+ | ขอสมาอย่าได้มีราคีปน เป็นต่างคนต่างแคล้วแล้วกันไป | ||
+ | แต่ปรางทองน้องหญิงยังจริงจิต แนบสนิทนับเชื้อว่าเนื้อไข | ||
+ | จะแวะหาสารพัดยังขัดใน ต้องอายใจจำลากลัวช้าการ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ถึงอารามนามที่กุฎีทอง ดูเรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร | ||
+ | ริมอารามข้ามน้ำทำตะพาน นมัสการเดินมาในวารี | ||
+ | ถึงคุ้งเคี้ยวเลี้ยวลดชื่อคดอ้อย ตะวันคล้อยคล้ำฟ้าในราศี | ||
+ | ค่อยคล่องแคล่วแจวรีบถึงพริบพรี ประทับที่หน้าท่าพลับพลาชัย | ||
+ | ด้วยวัดนี้ที่สำหรับประทับร้อน นรินทรท้าวพระยามาอาศัย | ||
+ | ขอเดชะอานุภาพช่วยปราบภัย ให้มีชัยเหมือนเช่นนามอารามเมือง | ||
+ | ดูเรือแพแซ่ซ้องทั้งสองฟาก บ้างขายหมากขายพลูหนวกหูเหือง | ||
+ | นอนค้างคืนตื่นเช้าเห็นชาวเมือง ดูนองเนืองนาวาบ้างมาไป ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ ได้เยี่ยมเยือนเรือนบ้านท่านขุนแพ่ง มาปลูกแปลงแปลกกว่าเมื่ออาศัย | ||
+ | ด้วยศึกลาวคราวนั้นเธอบรรลัย ไม่มีใครครอบครองจึ่งหมองมัว | ||
+ | แสนสงสารท่านผู้หญิงมิ่งเมียหลวง เฝ้าข้อนทรวงเสียใจอาลัยผัว | ||
+ | ทั้งเมียน้อยอ้อยอิ่งหญิงคนครัว พากันมัวหมองคล้ำระกำตรอม | ||
+ | เมื่อมาเรือนเยือนศพได้พบพักตร์ ไม่หมองนักคราวนี้รูปช่างซูบผอม | ||
+ | เพราะครวญคร่ำกำสรดสู้อดออม เหมือนแก่งอมหงิมเงียบเซียบสำเนียง | ||
+ | โอ้อกเอ๋ยเคยสำราญอยู่บ้านนี้ ได้ฟังปี่พาทย์เพราะเสนาะเสียง | ||
+ | ทั้งหญิงชายฝ่ายเพื่อนริมเรือนเรียง เคยพร้อมเพรียงเพรางายสบายใจ | ||
+ | โอ้คิดคุณขุนแพ่งเสียแรงรัก ไม่พบพักตร์พลอยพาน้ำตาไหล | ||
+ | ได้สวดทั้งบังสุกุลแบ่งบุญไป ให้ท่านได้สู่สวรรค์ชั้นวิมาน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แล้วอำลาอาลัยใจจะขาด จำนิราศแรมร้างห่างสถาน | ||
+ | ลงเรือจอดทอดท่าหน้าตะพาน แสนสงสารศิษย์หาออกมาอึง | ||
+ | เห็นหน้าน้องทองมีอารีรัก ครั้นจะทักเล่าก็กลัวผัวจะหึง | ||
+ | ได้เคยเห็นเป็นฝีมือมักดื้อดึง จะตูมตึงแตกซ้ำระยำเยิน | ||
+ | ทั้งที่ปรางค์นางใหญ่ได้ให้ผ้า เมื่อครั้งมาสอนบุตรสุดสรรเสริญ | ||
+ | ได้ห่มหนาวคราวระกำจงจำเริญ ยังเชื้อเชิญชวนชักรักอารมณ์ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แล้วไปบ้านท่านแพ่งตำแหน่งใหม่ ยังรักใคร่ครองจิตสนิทสนม | ||
+ | ที่ธุระจะใคร่ได้ใจนิยม เขารับสมปรารถนาสามิภักดิ์ | ||
+ | จะกลับหลังยังมิได้ดั่งใจชั่ว ต้องไปทั่วบ้านเรือนเพื่อนรู้จัก | ||
+ | เมื่อเป็นบ้ามาคนเดียวเที่ยวสำนัก เขารับรักรู้คุณกรุณา | ||
+ | ที่ไหนไหนไมตรียังดีสิ้น เว้นแต่อินวัดเกศของเชษฐา | ||
+ | ช่างตัดญาติขาดเด็ดไม่เมตตา พอเห็นหน้าน้องก็เบือนไม่เหมือนเคย | ||
+ | โอ้คิดแค้นแหวนประดับกับแพรเพลาะ เป็นคราวเคราะห์เพราะเป็นบ้านิจจาเอ๋ย | ||
+ | จนรักตายกลายตอเป็นกอเตย ไม่เห็นเลยว่าจะเป็นไปเช่นนั้น ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ โอ้คิดถึงพึ่งบุญท่านขุนแพ่ง ไปหน้าแล้งรับแขกแรกวสันต์ | ||
+ | ตำข้าวเม่าเคล้าน้ำตาลทั้งหวานมัน ได้ช่วยกันคั้นขยำน้ำกะทิ | ||
+ | เขาไปเที่ยวเกี่ยวข้าวอยู่เฝ้าห้อง เหมือนพี่น้องนึกโอ้อโหสิ | ||
+ | เนื้อเอ๋ยเนื้อเหลือเจ็บจนเล็บลิ ยังปริปริปริ่มพร้อยเป็นรอยราย | ||
+ | ครั้นไปเยือนเรือนหลานบ้านวัดเกาะ ยังทวงเพลาะแพรดำที่ทำหาย | ||
+ | ต้องใช้สีทับทิมจึ่งยิ้มพราย ฯ วิลาสลายลอยทองสนองคุณ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แล้วไปบ้านตาลเรียงเคียงบ้านไร่ ที่นับในน้องเนื้อช่วยเกื้อหนุน | ||
+ | พอวันนัดชัดน้ำเขาทำบุญ เห็นคนวุ่นหยุดยั้งยืนรั้งรอ | ||
+ | เขาว่าน้องของเราเป็นเจ้าสาว ไม่รู้ราวเรื่องเร่อมาเจอหอ | ||
+ | เหมือนจุดไต้ว่ายน้ำมาตำตอ เสียแรงถ่อกายมาก็อาภัพ | ||
+ | จะแทนบุญคุณมาประสายาก ต้องกระดากดังหนึ่งศรกระดอนกลับ | ||
+ | ได้ฝากแต่แพรผ้ากับป้าทรัพย์ ไว้สำรับหนึ่งนั้นทำขวัญน้อง | ||
+ | ไปปีหนึ่งครึ่งปีเมื่อมีลูก จะมาผูกมือบ้างอย่าหมางหมอง | ||
+ | แล้วมาเรือเหลือรำลึกเฝ้าตรึกตรอง เที่ยวฉลองคุณท่านทุกบ้านเรือน ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แค้นแต่ขำกรรมอะไรไฉนน้อง เฝ้าท้องท้องทุกทุกปีไม่มีเหมือน | ||
+ | ช่างกระไรใจจิตไม่บิดเบือน จะไปเยือนเล่าก็รู้ว่าอยู่ไฟ | ||
+ | จึงฝากคำทำกลอนไว้สอนสั่ง เมื่อมิฟังพี่ห้ามตามวิสัย | ||
+ | พอวันพระศรัทธาพากันไป เที่ยวแวะไหว้พระอารามตามกำลัง | ||
+ | พระพุทธเจ้าหลวงสร้างแต่ปางหลัง สาธุสะพระนอนสิงขรเขา | ||
+ | ยี่สิบวาฝากั้นเป็นบัลลังก์ ดูเปล่งปลั่งปลื้มใจกระไรเลย | ||
+ | พระเนตรหลับทับพระบาทไสยาสน์เหยียด อ่อนละเมียดอาสนะพระเขนย | ||
+ | พระเจ้างามยามประทมน่าชมเชย ช่วยรำเพยพัชนีนั่งวีลม | ||
+ | แล้วนึกว่าหน้าหนาวมาคราวนี้ ถึงแท่นที่พระสถิตสนิทสนม | ||
+ | ยังมีแต่แพรหอมถนอมชม ได้คลี่ห่มหุ้มอุระพระประธาน | ||
+ | อุทิศว่าผ้านี้ของพี่น้อง ฝ่ายเจ้าของขาดรักสมัครสมาน | ||
+ | มาห่มพระจะให้ผลดลบันดาล ได้พบพานภายหน้าสถาพร | ||
+ | ทั้งรูปงามทรามประโลมโฉมแฉล้ม ขอให้แก้มสองข้างอย่างเกสร | ||
+ | ทั้งเนื้อหอมพร้อมสิ้นกลิ่นขจร คนแสนงอนให้มาง้อมาขอชิม | ||
+ | หนึ่งผ้าข้าได้ห่มประทมพระ ขอทิฏฐะจงเห็นเป็นปัจฉิม | ||
+ | ให้มีใหม่ได้ดีสีทับทิม ทั้งขลิบริมหอมฟุ้งปรุงสุคนธ์ | ||
+ | ทั้งศิษย์หาผ้ามีต่างคลี่ห่ม คลุมประทมพิษฐานการกุศล | ||
+ | ขอเนื้อหอมพร้อมกันเหมือนจันทน์ปน ได้เยาะคนขอจูบรักรูปเรา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แล้วลดเลี้ยวเที่ยวไปบันไดอิฐ ต่างเพลินพิศเพิงผารุกขาเขา | ||
+ | จิกจันทน์แจงแทงทวยกรวยกันเกรา โมกข์แมงเม่าไม้งอกซอกศิลา | ||
+ | เหล่าลั่นทมยมโดยร่วงโรยกลิ่น ระรวยรินรื่นรื่นชื่นนาสา | ||
+ | โบสถ์วิหารลานวัดทัศนา ล้วนศิลาแลสะอาดด้วยกวาดเตียน | ||
+ | มีกุฎีที่พระสงฆ์ทรงสถิต พฤกษาชิดชั้นไผ่เหมือนไม้เขียน | ||
+ | น่าสนุกรุกขชาติดาษเดียร เที่ยวเดินเวียนวงรอบขอบคีรี ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ พอแดดร่มลมชายสบายจิต เที่ยวชมทิศทุ่งทางกลางวิถี | ||
+ | ทั่วประเทศเขตแคว้นแดนพริบพรี เหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล | ||
+ | ที่พวกทำน้ำโตนดประโยชน์ทรัพย์ มีดสำหรับเหน็บข้างอย่างทหาร | ||
+ | พะองยาวก้าวตีนปีนทะยาน กระบอกตาลแขวนกันคนละพวง | ||
+ | แต่ใจดีที่ว่าใครเข้าไปขอ ให้กินพออิ่มอุทรบห่อนหวง | ||
+ | ได้ชื่นฉ่ำน้ำตาลหวานหวานทรวง ขึ้นเขาหลวงเลียบเดินเนินบันได | ||
+ | ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ รุกขชาติช่อดอกออกไสว | ||
+ | บ้างหล่นร่วงพวงผกาสุมาลัย ต่างเด็ดได้เดินดมบ้างชมดวง | ||
+ | ภุมรินบินว่อนเที่ยวร่อนร้อง เหมือนเสียงฆ้องหึ่งหึ่งล้วนผึ้งหลวง | ||
+ | เวียนประเวศเกษราบุปผาพวง ได้เชยดวงดอกไม้เหมือนใจจง ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ โอ้อกน้องท่องเที่ยวมาเปลี่ยวจิต ไม่มีมิตรที่จะชมสมประสงค์ | ||
+ | กับหนูน้อยพลอยเพลินเที่ยวเดินวง ขึ้นถึงองค์พระเจดีย์บนคีริน | ||
+ | ต่างเหนื่อยบอบนอบน้อมอยู่พร้อมพรั่ง บ้างหยุดนั่งเอนนอนกับก้อนหิน | ||
+ | เห็นประเทศเขตแคว้นในแดนดิน มีบ้านถิ่นทิวไม้ไรไรราย | ||
+ | คีรีรอบขอบเขื่อนดูเหมือนเมฆ แลวิเวกหวาดหวั่นยิ่งขวัญหาย | ||
+ | เห็นทะเลเคหาหน้าหาดทราย ดูเรียงรายเรี่ยเรี่ยเตี้ยติดดิน | ||
+ | ได้ชมเพลินเมินมุ่งดูทุ่งกว้าง มีแถวทางเถื่อนท่าชลาสินธุ์ | ||
+ | ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน บ้างโบยบินว้าว่อนบ้างร่อนเรียง | ||
+ | ที่ไร้คู่อยู่เดียวก็เที่ยวร้อง ประสานซ้องสกุณาภาษาเสียง | ||
+ | กินปลีเปล้าเขาไฟจับไม้เรียง กรอดเคียงคู่กรอดแล้วพลอดเพลิน | ||
+ | รอกกระแตแลโลดกระโดดแล่น กระต่ายเต้นตามลำเนาภูเขาเขิน | ||
+ | ที่ทุ่งกว้างกลางหนเห็นคนเดิน หาบน้ำตาลคานเยิ่นหยอกเอินกัน | ||
+ | ทั้งล้อเกวียนเดียรดาษดูกลาดเกลื่อน ทุกถิ่นเถื่อนทุ่งแถวแพ้วจังหัน | ||
+ | โสมนัสทัศนาจนสายัณห์ แล้วพากันเข้าในถ้ำน่าสำราญ ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ มีพระไสยาสน์พระบาทเหยียด คนมันเบียดเบียนขุดสุดสงสาร | ||
+ | พระทรวงพังทั้งพระเพลาก็ร้าวราน โอ้ชาวบ้านช่างไม่สร้างขึ้นบ้างเลย | ||
+ | ทั้งผนังพังทับอยู่กับถ้ำ โอ้นึกน้ำตาตกเจียวอกเอ๋ย | ||
+ | ดูว้างเวิ้งเชิงพนมน่าชมเชย ต่างแหงนเงยชมชะง่อนก้อนศิลา | ||
+ | เป็นลดหลั่นชั้นช่องมีห้องหับ แลสลับเลื่อมคล้ายลายเลขา | ||
+ | กลางคิรินหินห้อยย้อยระย้า ดาษดาดูดูดังพู่พวง | ||
+ | ฉะเช่นนี้มีฤทธิ์จะคิดช้อน เอาสิงขรเข้าไปตั้งริมวังหลวง | ||
+ | เห็นหนุ่มสาวชาวบุรินสิ้นทั้งปวง จะแหนหวงห้องหับถึงจับกุม | ||
+ | เขาตั้งอ่างกลางถ้ำมีน้ำย้อย ดูผ็อยผ็อยเผาะลงที่ตรงหลุม | ||
+ | เป็นไคลคล้ำน้ำแท่งกลับแข็งคุม เป็นหินหุ้มอ่างอิฐสนิทดี ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แล้วเดินดูภูผาศิลาเลื่อม บ้างงอกเงื้อมเงาระยับสลับสี | ||
+ | เป็นห้องน้อยรอยหนังสือลายมือมี คิดถึงปีเมื่อเป็นบ้าเคยมานอน | ||
+ | ชมลูกจันกลั่นกลิ่นระรินรื่น จนเที่ยงคืนแขนซ้ายกลายเป็นหมอน | ||
+ | เห็นห้องหินศิลาน่าอาวรณ์ เคยกล่าวกลอนกล่อมช้าโอ้ชาตรี | ||
+ | พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้อง เรไรซ้องเสียงจังหรีดดังดีดสี | ||
+ | คิดคะนึงถึงตัวกลัวต้องตี ต่อช้าปีจึงค่อยวายฟายน้ำตา | ||
+ | โอ้ยามยากจากบุรินมาถิ่นเถื่อน ไม่มีเรือนแรมอยู่ในคูหา | ||
+ | เดือนสว่างต่างไต้เมื่อไสยา แผ่นศิลาต่างฟูกกระดูกเย็น | ||
+ | ยังรินรินกลิ่นกลั่นจันทน์กระแจะ เหมือนจะแนะนำจิตให้คิดเห็น | ||
+ | เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น โอ้จำเป็นเป็นกรรมจึงจำไกล | ||
+ | มาเห็นถ้ำน้ำตาลงพรากพราก แต่เพื่อนยากยังไม่เห็นว่าเป็นไฉน | ||
+ | จะไปเรือนเยือนเยี่ยมก็เจียมใจ ขอสั่งไว้เถิดถ้ำที่ช้ำทรวง | ||
+ | อันถ้ำนี้ที่มนุษย์หยุดกินน้ำ มิใช่ถ้ำของอิเหนาถ้ำเขาหลวง | ||
+ | เขาช่วยเล่าเถิดว่าเขาไม่ล่อลวง แต่เขาหวงเขาห้ามต้องขามใจ | ||
+ | จึงเขียนกลอนนอนค้างไว้ต่างพักตร์ หวังประจักษ์มิ่งมิตรพิสมัย | ||
+ | จะภิญโญโมทนาให้อาภัย อย่าน้อยใจเลยถ้ำขออำลา ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แล้วลัดออกนอกลำเนาภูเขาหลวง ดูเด่นดวงเดือนสว่างกลางเวหา | ||
+ | โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างที่กลางนา เสียงปักษาเพรียกพลอดบนยอดตาล | ||
+ | มาตามทางหว่างโตนดลิงโลดจิต แต่พวกศิษย์แสนสุขสนุกสนาน | ||
+ | เห็นกระต่ายไล่โลดโดดทะยาน เสียงลูกตาลกรากตึงตะลึงแล | ||
+ | ต่างชิมชมดมเดินเจริญรื่น เที่ยวชมชื่นเขตแขวงด้วยแสงแข | ||
+ | ต่างลดเลี้ยวเที่ยวเด็ดดอกแคแตร ได้เห็นแต่นกน้อยต้อยตีวิด | ||
+ | สักสองยามตามทักล้วนปักษา เสียงแจ้วจ้าจ้อยเจี๋ยวเตี๋ยวเตี๋ยวติด | ||
+ | โอ้ฟังฟังหวังสวาทไม่ขาดคิด ช่างไม่ผิดเสียงสาวชาวพริบพรี ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ แล้วเลี้ยวลงตรงหน้าวัดพระธาตุ พอเดือนคลาดคล้อยจำรัสรัศมี | ||
+ | ดูพระปรางค์กลางอารามก็งามดี แต่ไม่มีเงาบ้างเป็นอย่างไร | ||
+ | สาธุสะพระมหาตถาคต ยังปรากฏมิได้เสื่อมที่เลื่อมใส | ||
+ | พอไก่ขันวันทาลาครรไล ลงเรือใหญ่ล่องมาถึงธานี ฯ | ||
+ | |||
+ | ๏ จึงจดหมายรายความตามสังเกต ถิ่นประเทศแถวทางกลางวิถี | ||
+ | ให้อ่านเล่นเป็นเรื่องเมืองพริบพรี ผู้ใดมีคุณก็ได้ไปแทนคุณ | ||
+ | ทั้งผ้าหอมย้อมเหลืองได้เปลื้องห่ม พระประทมที่ลำเนาภูเขาขุน | ||
+ | กุศลนั้นบรรดาที่การุญ รับส่วนบุญเอาเถิดท่านที่อ่านเอย ฯ | ||
</tpoem> | </tpoem> | ||
+ | |||
== เชิงอรรถ == | == เชิงอรรถ == |
รุ่นปัจจุบันของ 14:14, 10 กรกฎาคม 2552
ข้อมูลเบื้องต้น
แม่แบบ:เรียงลำดับ ผู้แต่ง: สุนทรภู่
บทประพันธ์
๏ โอ้รอนรอนอ่อนแสงพระสุริย์ฉาย | |||
ท้องฟ้าคล้ำน้ำค้างลงพร่างพราย | พระพายชายชื่นเชยรำเพยพาน | ||
อนาถหนาวคราวอาสาเสด็จ | ไปเมืองเพชรบุรินที่ถิ่นสถาน | ||
ลงนาวาหน้าวัดนมัสการ | อธิษฐานถึงคุณกรุณา | ||
ช่วยชุบเลี้ยงเพียงชนกที่ปกเกศ | ถึงต่างเขตของประสงค์คงอาสา | ||
จึงจดหมายรายทางกลางคงคา | แต่นาวาเลี้ยวล่องเข้าคลองน้อย ฯ | ||
๏ ได้เห็นแต่แพแขกที่แปลกเพศ | ขายเครื่องเทศเครื่องไทยได้ใช้สอย | ||
ถึงวัดหงส์เห็นแต่หงส์เสาธงลอย | เป็นหงส์ห้อยห่วงธงใช่หงส์ทอง | ||
ถึงวัดพลับลับลี้เป็นที่สงัด | เห็นแต่วัดสังข์กระจายไม่วายหมอง | ||
เหมือนกระจายพรายพลัดกำจัดน้อง | มาถึงคลองบางลำเจียกสำเหนียกนาม | ||
ลำเจียกเอ๋ยเคยชื่นระรื่นรส | ต้องจำอดออมระอาด้วยหนาหนาม | ||
ถึงคลองเตยเตยแตกใบแฉกงาม | คิดถึงยามปลูกรักมักเป็นเตย | ||
จนไม่มีที่รักเป็นหลักแหล่ง | ต้องคว้างแคว้งคว้าหานิจจาเอ๋ย | ||
โอ้เปลี่ยวใจไร้รักที่จักเชย | ชมแต่เตยแตกหนามเมื่อยามโซ | ||
ถึงบางหลวงล่วงล่องเข้าคลองเล็ก | ล้วนบ้านเจ๊กขายหมูอยู่อักโข | ||
เมียขาวขาวสาวสวยล้วนรายโป | หัวอกโอ้อายใจมิใช่เล็ก | ||
ไทยเหมือนกันครั้นว่าขอเอาหอห้อง | ต้องขัดข้องแข็งกระด้างเหมือนอย่างเหล็ก | ||
มีเงินงัดคัดง้างเหมือนอย่างเจ๊ก | ถึงลวดเหล็กลนร้อนอ่อนละไม ฯ | ||
๏ ถึงวัดบางนางชีมีแต่สงฆ์ | ไม่เห็นองค์นางชีอยู่ที่ไหน | ||
หรือหลวงชีมีบ้างเป็นอย่างไร | คิดจะใคร่แวะหาปรึกษาชี | ||
ก็มืดค่ำอำลาทิพาวาส | เลยลีลาศล่วงทางกลางวิถี | ||
ถึงวัดบางนางนองแม้นน้องมี | มาถึงที่ก็จะต้องนองน้ำตา | ||
ตัวคนเดียวเที่ยวเล่นไม่เป็นห่วง | แต่เศร้าทรวงสุดหวังที่ฝั่งฝา | ||
ที่เห็นเห็นเป็นแต่ปะได้ประดา | ก็ลอบรักลักลาคิดอาลัย | ||
จะแลเหลียวเปลี่ยวเนตรเป็นเขตสวน | มะม่วงพรวนหมากมะพร้าวสาวสาวไสว | ||
พฤกษาออกดอกลูกเขาปลูกไว้ | หอมดอกไม้กลิ่นกลบอบละออง ฯ | ||
๏ โอ้รื่นรื่นชื่นเชยเช่นเคยหอม | เคยถนอมนวลปรางมาหมางหมอง | ||
ถึงบางหว้าอารามนามจอมทอง | ดูเรืองรองรุ่งโรจน์ที่โบสถ์ราม | ||
สาธุสะพระองค์มาทรงสร้าง | เป็นเยี่ยงอย่างไว้ในภาษาสยาม | ||
ในพระโกศโปรดปรานประทานนาม | โอรสราชอารามงามเจริญ | ||
มีเขื่อนรอบขอบคูดูพิลึก | กุฏิตึกเก๋งกุฏิ์สุดสรรเสริญ | ||
ที่ริมน้ำทำศาลาไว้น่าเพลิน | จนเรือเดินมาถึงทางบางขุนเทียน | ||
โอ้เทียนเอ๋ยเคยแจ้งแสงสว่าง | มาหมองหมางมืดมิดตะขวิดตะเขวียน | ||
เหมือนมืดในใจจนต้องวนเวียน | ไม่ส่องเทียนให้สว่างหนทางเลย ฯ | ||
๏ บางประทุนเหมือนประทุนได้อุ่นจิต | พอป้องปิดเป็นหลังคานิจจาเอ๋ย | ||
หนาวน้ำค้างพร่างพรมลมรำเพย | ได้พิงเขนยนอนอุ่นประทุนบัง ฯ | ||
๏ ถึงคลองขวางบางระแนะแวะข้างขวา | ใครหนอมาแนะแหนกันแต่หลัง | ||
ทุกวันนี้วิตกเพียงอกพัง | แนะให้มั่งแล้วก็เห็นจะเป็นการ ฯ | ||
๏ ถึงวัดไทรไทรใหญ่ใบชอุ่ม | เป็นเซิงซุ้มสาขาพฤกษาศาล | ||
ขอเดชะพระไทรซึ่งชัยชาญ | ช่วยอุ้มฉานไปเช่นพระอนิรุธ | ||
ได้ร่วมเตียงเคียงนอนแนบหมอนหนุน | พออุ่นอุ่นแล้วก็ดีเป็นที่สุด | ||
จะสังเวยหมูแนมแก้มมนุษย์ | เทพบุตรจะได้ชื่นทุกคืนวัน ฯ | ||
๏ ถึงบางบอนบอนที่นี่มีแต่ชื่อ | เขาเลื่องลือบอนข้างบางยี่ขัน | ||
อันบอนต้นบอนน้ำตาลย่อมหวานมัน | แต่ปากคันแก้ไขมิใคร่ฟัง ฯ | ||
๏ ถึงวัดกกรกร้างอยู่ข้างซ้าย | เป็นรอยรายปืนพม่าที่ฝาผนัง | ||
ถูกทะลุปรุไปแต่ไม่พัง | แต่โบสถ์ยังทนปืนอยู่ยืนนาน | ||
แม้นมั่งมีมิให้ร้างจะสร้างฉลอง | ให้เรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร | ||
ด้วยที่นี่ที่เคยตั้งโขลนทวาร | ได้เบิกบานประตูป่าพนาลัย ฯ | ||
๏ โอ้อกเอ๋ยเลยออกประตูป่า | กำดัดดึกนึกน่าน้ำตาไหล | ||
จะเหลียวหลังสั่งสาราสุดาใด | ก็จนใจด้วยไม่มีไมตรีตรึง | ||
ช่างเป็นไรไพร่ผู้ดีก็มิรู้ | ใครแลดูเราก็นึกรำลึกถึง | ||
จะปรับไหมได้หรือไม่อื้ออึง | เป็นที่พึ่งพาสนาพอพาใจ | ||
โอ้นึกนึกดึกเงียบยะเยียบอก | เห็นแต่กกกอปรงเป็นพงไสว | ||
ลดาวัลย์พันพุ่มชอุ่มใบ | เรไรไพเราะร้องซ้องสำเนียง | ||
เสียงกรอดเกรียดเขียดกบเข้าขบเขี้ยว | เหมือนกรับเกรี้ยวกรอดกรีดวะหวีดเสียง | ||
หริ่งหริ่งแร่แม่ม่ายลองไนเรียง | แซ่สำเนียงหนาวในใจรำจวน | ||
เหมือนดนตรีปี่ป่าประสายาก | ทั้งสองฟากฟังให้อาลัยหวน | ||
ดังขับขานหวานเสียงสำเนียงนวล | เมื่อโอดครวญคราวฟังให้วังเวง ฯ | ||
๏ ถึงศีรษะกระบือเป็นชื่อบ้าน | ระยะย่านยุงชุมรุมข่มเหง | ||
ทั้งกุมภากล้าหาญเขาพานเกรง | ให้วังเวงวิญญาณ์เอกากาย | ||
ถึงศิษย์หามาตามเมื่อยามเปลี่ยว | เหมือนมาเดียวแดนไพรน่าใจหาย | ||
ถึงศีรษะละหานเป็นย่านร้าย | ข้างฝั่งซ้ายแสมดำเขาทำฟืน | ||
ถึงโคกขามคร้ามใจได้ไต่ถาม | โคกมะขามดอกมิใช่อะไรอื่น | ||
ไม่เห็นแจ้งแคลงทางเป็นกลางคืน | ยิ่งหนาวชื้นช้ำใจมาในเรือ | ||
ถึงย่านซื่อสมชื่อด้วยซื่อสุด | ใจมนุษย์เหมือนกระนี้แล้วดีเหลือ | ||
เป็นป่าปรงพงพุ่มดูครุมเครือ | เหมือนซุ้มเสือซ่อนร้ายไว้ภายใน | ||
ถึงบ้านขอมลอมฟืนดูดื่นดาษ | มีอาวาสวัดวาที่อาศัย | ||
ออกชะวากปากชลามหาชัย | อโณทัยแย้มเยี่ยมเหลี่ยมพระเมรุ ฯ | ||
๏ ข้างฝั่งซ้ายชายทะเลเป็นลมคลื่น | นภางค์พื้นเผือดแดงดังแสงเสน | ||
แม่น้ำกว้างว้างเวิ้งเป็นเชิงเลน | ลำพูเอนอ่อนทอดยอดระย้า | ||
หยุดประทับยับยั้งอยู่ฝั่งซ้าย | แสนสบายบังลมร่มรุกขา | ||
บรรดาเรือเหนือใต้ทั้งไปมา | คอยคงคาเกลื่อนกลาดไม่ขาดคราว | ||
บ้างหุงต้มงมงายทั้งชายหญิง | บ้างแกงปิ้งปากเรียกกันเพรียกฉาว | ||
เสียงแต่ตำน้ำพริกอยู่กริกกราว | เหมือนเสียงส้าวเกราะโกร่งที่โรงงาน ฯ | ||
๏ เห็นฝูงลิงวิ่งตามกันสอสอ | มาคอยขอโภชนากระยาหาร | ||
คนทั้งหลายชายหญิงทิ้งให้ทาน | ต่างลนลานล้วงได้เอาไพล่พลิ้ว | ||
เวทนาวานรอ่อนน้อยน้อย | กระจ้อยร่อยกระจิริดจิดจีดจิ๋ว | ||
บ้างเกาะแม่แลโลดกระโดดปลิว | ดูหอบหิ้วมิให้ถูกตัวลูกเลย ฯ | ||
๏ โอ้พ่อแม่แต่ชั้นลิงไม่ทิ้งบุตร | เพราะแสนสุดเสน่หานิจจาเอ๋ย | ||
ที่ลูกอ่อนป้อนนมนั่งชมเชย | กระไรเลยแลเห็นน่าเอ็นดู | ||
แต่ลิงใหญ่อ้ายทโมนมันโลนเหลือ | จนชาวเรือเมินหมดด้วยอดสู | ||
ทั้งลิงเผือกเทือกเถามันเจ้าชู้ | ใครแลดูมันนักมันยักคิ้ว | ||
บ้างกระโดดโลดหาแต่อาหาร | ได้สมานยอดแสมพอแก้หิว | ||
เขาโห่เกรียวประเดี๋ยวใจก็ไพล่พลิ้ว | กลับชี้นิ้วให้ดูอดสูตา ฯ | ||
๏ ได้ชมเล่นเห็นแต่นกวิหคกลุ้ม | เที่ยวดุ่มดุ่มเดินดินกินมัจฉา | ||
กลางสมุทรผุดโผล่ล้วนโลมา | ดูหน้าตาแต่ละตัวน่ากลัวเกรง | ||
ล้วนหัวบาตรวาดหางไปกลางคลื่น | ศีรษะลื่นเลี่ยนโล่งดูโจ่งเหม่ง | ||
ดูมากมายหลายอย่างยิ่งวางเวง | จนน้ำขึ้นครื้นเครงเป็นคราวเรือ | ||
บ้างถอนหลักชักถ่อหัวร่อร่า | บ้างก็มาบ้างก็ไปทั้งใต้เหนือ | ||
บ้างขับร้องซ้องสำเนียงจนเสียงเครือ | ต่างเลี้ยวเรือลงหน้าบ้านท่าจีน | ||
เป็นประมงหลงละโมบด้วยโลภลาภ | ไม่กลัวบาปเลยช่างนับแต่ทรัพย์สิน | ||
ตลิ่งพังฝั่งชลาล้วนปลาตีน | ตะกายปีนเลนเล่นออกเป็นแปลง ฯ | ||
๏ ในลำคลองสองฟากล้วนจากปลูก | ทะลายลูกดอกจากขึ้นฝากแฝง | ||
ต้นจากถูกลูกชิดนั้นติดแพง | เขาช่างแปลงชื่อถูกเรียกลูกชิด | ||
ถึงบ้านบ่อกอจากมิอยากสิ้น | เหมือนจากถิ่นท่องเที่ยวมาเปลี่ยวจิต | ||
อันใบจากรากกอไม่ขอคิด | แต่ลูกชิดชอบใจจะใคร่ชม ฯ | ||
๏ ถึงคลองที่อีรำท่าแร้งเรียก | สุดสำเหนียกที่จะถามความปฐม | ||
เขาทำน้ำทำนาปลาอุดม | เป็นนิคมเขตบ้านพวกพรานปลา | ||
ที่ปากคลองกองฟืนไว้ดื่นดาษ | ดูเกลื่อนกลาดเรียงรายทั้งซ้ายขวา | ||
ถึงบางขวางข้างซ้ายชายชลา | ไขคงคาขังน้ำไว้ทำเกลือ | ||
หรือบ้านนี้ที่เขาว่าตำราร่ำ | ช่างปั้นน้ำเป็นตัวน่ากลัวเหลือ | ||
ดูครึ้มครึกพฤกษาลดาเครือ | ล้วนรกเรื้อรำเริงเป็นเซิงซุ้ม | ||
ตะบูนต้นผลห้อยย้อยระย้า | ดาษดาดังหนึ่งผูกด้วยลูกตุ้ม | ||
เป็นคราบน้ำคร่ำคร่าแตกตารุม | ดูกระปุ่มกระปิ่มตุ่มติ่มเต็ม | ||
ลำพูรายชายตลิ่งดูกิ่งค้อม | มีขวากล้อมแหลมรายดังปลายเข็ม | ||
เห็นปูเปี้ยวเที่ยวไต่กินไคลเค็ม | บ้างเก็บเล็มลากก้ามครุ่มคร่ามครัน | ||
โอ้เอ็นดูปูไม่มีซึ่งศีรษะ | เท้าระกะก้อมโกงโม่งโค่งขัน | ||
ไม่มีเลือดเชือดฉะปะแต่มัน | เป็นเพศพันธุ์ไร้ผัวเพราะมัวเมา | ||
แม้นเมียออกลอกคราบไปคาบเหยื่อ | เอามาเผื่อภรรยาเมตตาเขา | ||
ระวังดูอยู่ประจำทุกค่ำเช้า | อุตส่าห์เฝ้าฟูมฟักเพราะรักเมีย | ||
ถึงทีผัวตัวลอกพอออกคราบ | เมียมันคาบคีบเนื้อเป็นเหยื่อเสีย | ||
จึงเกิดไข่ไร้ผัวเที่ยวยั้วเยี้ย | ยังแต่เมียเคลื่อนคล้อยขึ้นลอยแพ | ||
สมเพชสัตว์ทัศนาพฤกษาสล้าง | ล้วนโกงกางกุ่มแกมแซมแสม | ||
สงัดเหงาเปล่าเปลี่ยวเมื่อเหลียวแล | เสียงแอ้แจ้จักจั่นหวั่นวิญญาณ์ ฯ | ||
๏ ถึงคลองนามสามสิบสองคดคุ้ง | ชะวากวุ้งเวียนซ้ายมาฝ่ายขวา | ||
ให้หนูน้อยคอยนับในนาวา | แต่หนึ่งมาถ้วนสามสิบสองคด | ||
อันคดอื่นหมื่นคดกำหนดแน่ | เว้นเสียแต่ใจมนุษย์สุดกำหนด | ||
ทั้งลวงล่องอเงี้ยวทั้งเลี้ยวลด | ถึงคลองคดก็ยังไม่เหมือนใจคน ฯ | ||
๏ ถึงปากช่องคลองชื่อสุนัขหอน | ทั้งเรือแพแลสลอนเสลือกสลน | ||
ต่างแข็งข้อถ่อค้ำที่น้ำวน | คงคาข้นขุ่นตื้นแต่พื้นเลน | ||
เข้ายัดเยียดเสียดแทรกบ้างแตกหัก | บ้างถ่อผลักอึดอัดขัดเขมร | ||
บ้างทุ่มเถียงเสียงหญิงขึ้นเกนเกน | ล้วนโคลนเลนเปื้อนเปรอะเลอะทั้งตัว | ||
ที่น้อยตัวผัวเมียลงลากฉุด | นางเมียหยุดผัวโกรธเมียโทษผัว | ||
ด้วยยากเย็นเข็นฝืดทั้งมืดมัว | พอตึงตัวเต็มเบียดเข้าเสียดแซะ | ||
ทั้งยุงชุมรุมกัดปัดเปรียะประ | เสียงผัวะผะพึบพับปุบปับแปะ | ||
ที่เข็นเรียงเคียงลำขยำแขยะ | มันเกาะแกะกันจริงจริงหญิงกับชาย ฯ | ||
๏ จนตกทางบางสะใภ้ครรไลล่อง | มีบ้านช่องซ้ายขวาเขาค้าขาย | ||
ปลูกทับทิมริมทางสองข้างราย | ไม่เปล่าดายดกระย้าทั้งตาปี | ||
บ้างดิบห่ามงามงอมจนค้อมกิ่ง | เป็นดอกติ่งแตกประดับสลับสี | ||
บ้างแตกร้าวพราวเม็ดเพชรโนรี | เขาขายดีเก็บได้ใส่กระเชอ | ||
มาตั้งขายฝ่ายเจ้าของไม่ต้องถือ | เห็นเรือล่องร้องว่าซื้อทับทิมเหนอ | ||
จะพูดจาคารวะทั้งคะเออ | เสียงเหน่อเหน่อหน้าตาน่าเอ็นดู | ||
นึกเสียดายหมายมั่นใคร่พันผูก | ไว้เป็นลูกสะใภ้ให้เจ้าหนู | ||
พอนึกหยุดบุตรเราก็เจ้าชู้ | อุตส่าห์รู้ร้องต่อจะขอชิม | ||
เขาอายเอียงเมียงเมินทำเดินเฉย | ไม่เกินเลยลวนลามงามหงิมหงิม | ||
ได้ตอบต่อล้อเหล่าเจ้าทับทิม | พอแย้มยิ้มเฮฮาประสาชาย ฯ | ||
๏ ถึงแม่กลองสองฝั่งเขาตั้งบ้าน | น่าสำราญเรือนเรือดูเหลือหลาย | ||
บ้างย่างปลาค่าเคียงเรียงเรียงราย | ดูวุ่นวายวิ่งไขว่กันใหญ่น้อย | ||
ขายสำเร็จเป็ดไก่ทั้งไข่พอก | กระเบนกระบอกปลาทูทั้งปูหอย | ||
ลูกค้ารับนับกันเป็นพันร้อย | ปลาเล็กน้อยขมงโกรยโกยกระบุง | ||
นางแม่ค้าปลาเค็มก็เต็มสวย | กำไรรวยรวมประจบจนครบถุง | ||
บ้างเหน็บท้องป่องปุ่ยตุ่ยตุ่ยตุง | ต่างบำรุงรูปร่างสำอางตา ฯ | ||
๏ พอออกช่องล่องลำแม่น้ำกว้าง | บ้านบางช้างแฉกแชไปแควขวา | ||
ข้างซ้ายตรงลงทะเลพอเวลา | พระสุริยามืดมัวทั่วแผ่นดิน | ||
ดูซ้ายขวาป่าปะโลงหวายโป่งเป้ง | ให้วังเวงหวั่นไหวฤทัยถวิล | ||
เวลาเย็นเห็นนกวิหคบิน | ไปหากินแล้วก็พากันมารัง | ||
บ้างเคียงคู่ชูคอเสียงซ้อแซ้ | โอ้แลแลแล้วก็ให้อาลัยหลัง | ||
แม้นร่วมเรือนเหมือนนกที่กกรัง | จะได้นั่งแนบข้างเหมือนอย่างนก | ||
นี่กระไรไม่มีเท่ากี่ก้อย | โอ้บุญน้อยนึกน่าน้ำตาตก | ||
ต้องลมว่าวหนาวหนังเหมือนคั้งคก | จะได้กกกอดใครก็ไม่มี | ||
จนเรือออกนอกอ่าวดูเปล่าโว่ง | ทะเลโล่งแลมัวทั่ววิถี | ||
ไม่เห็นหนสนธยาเป็นราตรี | แต่ลมดีดาวสว่างกระจ่างตา | ||
สำรวลรื่นคลื่นราบดังปราบเรี่ยม | ทั้งน้ำเปี่ยมป่าแสมข้างแควขวา | ||
ดาวกระจายพรายพร่างกลางนภา | แสงคงคาเค็มพราวราวกับพลอย | ||
เห็นปลาว่ายกายสล้างกระจ่างแจ่ม | แลแอร่มเรืองรุ่งชั้นกุ้งฝอย | ||
เป็นหมู่หมู่ฟูฟ่องขึ้นล่องลอย | ตัวน้อยน้อยนางมังกงขมงโกรย | ||
ชื่นอารมณ์ชมปลาเวลาดึก | หวนรำลึกแล้วเสียดายไม่วายโหย | ||
แม้นเห็นปลาวารินจะดิ้นโดย | ทั้งลมโชยเฉื่อยชื่นระรื่นเย็น | ||
จะเพลินชมยมนาเวหาห้อง | เช่นนี้น้องไหนเลยจะเคยเห็น | ||
ทะเลโล่งโว่งว่างน้ำค้างกระเซ็น | ดูดาวเด่นดวงสว่างเหมือนอย่างโคม | ||
จะเปรมปรีดิ์ดีใจมิใช่น้อย | น้องจะพลอยเพลินอารมณ์ด้วยชมโฉม | ||
โอ้อายจิตคิดรักลักประโลม | ทรวงจะโทรมตรงช่องปากคลองโคน | ||
ด้วยมืดค่ำสำคัญที่นั่นแน่ | เรียกแสมตายห่าพฤกษาโกร๋น | ||
ลำพูรายชายเลนดูเอนโอน | วายุโยนยอดระย้าริมสาคร | ||
หิ่งห้อยจับวับวามอร่ามเหลือง | ดูรุ่งเรืองรายจำรัสประภัสสร | ||
เหมือนแหวนก้อยพลอยพรายเมื่อกรายกร | ยังอาวรณ์แหวนประดับด้วยลับตา ฯ | ||
๏ ถึงคลองช่องล่องเลียบเงียบสงัด | เห็นเมฆกลัดกลางทะเลบนเวหา | ||
เสียงโครมครื้นคลื่นกระทั่งฝั่งชลา | ลมสลาตันตึงหึ่งหึ่งฮือ | ||
นาวาเหเซหันให้ปั่นป่วน | ต้องแจวทวนท้ายหันช่วยกันถือ | ||
ถึงสี่แจวแล้วเรือยังเหลือมือ | ลมกระพือพัดโงงดูโคลงเคลง | ||
ทั้งคลื่นซ้ำน้ำซัดให้ปัดปั่น | โอ้แต่ชั้นคลื่นลมยังข่มเหง | ||
น่าอายเพื่อนเหมือนคำเขาทำเพลง | มาเท้งเต้งเรือลอยน่าน้อยใจ | ||
ยิ่งแจวทวนป่วนปั่นยิ่งหันเห | ลมทะเลเหลือจะต้านทานไม่ไหว | ||
เสียงสวบเสยเกยตรงเข้าพงไพร | ติดอยู่ใต้ต้นโกงกางแต่กลางคืน | ||
พอจุดเทียนเซี่ยนขันน้ำมันคว่ำ | ต้องวิดน้ำนาวาไม่ฝ่าฝืน | ||
เสื่อที่นอนหมอนนวมน้ำท่วมชื้น | เหลือแต่ผืนผ้าแพรของแม่น้อง | ||
ได้กันลมห่มหนาวเมื่อเช้าตรู่ | ยังรักรู้จักคุณการุญสนอง | ||
ลมรินรินกลิ่นกลบอบละออง | ได้ปกครองคุมเครือเมื่อเรือค้าง ฯ | ||
๏ เขาหลับเรื่อยเหนื่อยอ่อนนอนสนิท | พี่นี้คิดใคร่ครวญจนจวนสว่าง | ||
เสียงนกร้องซ้องแซ่ครอแครคราง | ทั้งลิงค่างครอกโครกละโอกโอย | ||
เสียงชะนีที่เหล่าเขายี่สาน | วิเวกหวานหวัวหวัวผัวผัวโหวย | ||
หวิวหวิวไหวได้ยินยิ่งดิ้นโดย | ชะนีโหยหาคู่ไม่รู้วาย | ||
เหมือนวิตกอกน้องที่ตรองตรึก | เหลือรำลึกอาลัยมิใคร่หาย | ||
จะเรียกบ้างอย่างชะนีก็มีอาย | ต้องเรียกสายสวาทในใจรำจวน | ||
จนรุ่งแจ้งแสงสว่างนภางค์พื้น | ต้องค้างตื้นติดป่าพากันสรวล | ||
จะเข็นค้ำล้ำเหลือเป็นเรือญวน | พอเห็นจวนน้ำขึ้นค่อยชื่นใจ | ||
ต้นแสมแลดูล้วนปูแสม | ขึ้นไต่แต่ต้นกิ่งวิ่งไสว | ||
เขาสั่นต้นหล่นผอยผ็อยผ็อยไป | ลงมุดใต้ตมเลนเห็นแต่ตา ฯ | ||
๏ โอ้เอ็นดูหนูน้อยร้องหอยเหาะ | ขึ้นไปเกาะกิ่งตลอดยอดพฤกษา | ||
ล้วนจุ๊บแจงแผลงฤทธิ์เขาปลิดมา | กวักตรงหน้าเรียกให้มันได้ยิน | ||
จุ๊บแจงเอ๋ยเผยฝาหาข้าวเปียก | แม่ยายเรียกจะให้ไปกฐิน | ||
ทั้งงวงทั้งงาออกมากิน | ช่วยปัดริ้นปัดยุงกระทุงราย | ||
เขาร่ำเรียกเพรียกหูได้ดูเล่น | มันอยากเป็นลูกเขยทำเงยหงาย | ||
เยี่ยมออกฟังทั้งตัวกลัวแม่ยาย | โอ้นึกอายด้วยจุ๊บแจงแกล้งสำออย | ||
เหมือนจะรู้อยู่ในเล่ห์เสน่หา | แต่หากว่าพูดยากเป็นปากหอย | ||
เปรียบเหมือนคนจนทุนทั้งบุญน้อย | จะกล่าวถ้อยออกไม่ได้ดังใจนึก | ||
พอลอยลำน้ำมากออกจากป่า | ได้แอบอาศัยแสมอยู่แต่ดึก | ||
ในดงฟืนชื่นชุ่มทุกพุ่มพฤกษ์ | ผู้ใดนึกฟันฟาดให้คลาดแคล้ว | ||
แล้วเคลื่อนคลาลาจากปากคลองช่อง | ไปตามร่องน้ำหลักปักเป็นแถว | ||
ข้ามยี่สานบ้านสองพี่น้องแล้ว | ค่อยคล่องแคล่วเข้าชะวากปากตะบูน | ||
น้ำยังน้อยค่อยค้ำพอลำเลื่อน | ไม่มีเพื่อนเรือประหลาดช่างขาดสูญ | ||
ในคลองลัดทัศนายิ่งอาดูร | เป็นดินพูนพานจะตื้นแต่พื้นโคลน | ||
ป่าปะโลงโกงกางแกมแสม | แต่ล้วนแต่ตายฝอยกรองกร๋อยโกร๋น | ||
ตลอดหลามตามตลิ่งล้วนลิงโลน | อ้ายทโมนนำหน้าเที่ยวคว้าปู | ||
ครั้นล้วงชุดสุดอย่างเอาหางยอน | มันหนีบนอนร้องเกลือกเสือกหัวหู | ||
เพื่อนเข้าคร่าหน้าหลังออกพรั่งพรู | ลากเอาปูออกมาได้ไอ้กะโต | ||
ทั้งหอยแครงแมงดามันหาคล่อง | ฉีกกระดองกินไข่มิใช่โง่ | ||
ได้อิ่มอ้วนท้วนหมดไม่อดโซ | อกเอ๋ยโอ้เอ็นดูหมู่แมงดา | ||
ให้สามีขี่หลังเที่ยวฝั่งแฝง | ตามหล้าแหล่งเลนเค็มเล็มภักษา | ||
เขาจับเป็นเห็นสมเพชเวทนา | ทิ้งแมงดาผัวเสียเอาเมียไป | ||
ฝ่ายตัวผู้อยู่เดียวเที่ยวไม่รอด | เหมือนตาบอดมิได้แจ้งตำแหน่งไหน | ||
ต้องอดอยากจากเมียเสียน้ำใจ | ก็บรรลัยแลกลาดดาษดา | ||
แม้นเดี๋ยวนี้มีหญิงไม่ทิ้งผัว | ถึงรูปชั่วฉันจะรักให้หนักหนา | ||
โอ้อาลัยใจอย่างนางแมงดา | แต่ดูหน้าในมนุษย์เห็นสุดแล ฯ | ||
๏ จนออกช่องคลองบางตะบูนใหญ่ | ล้วนป่าไม้ตีนเป็ดเสม็ดแสม | ||
นกกะลางยางกรอกกระรอกกระแต | เสียงซ้อแซ้สองข้างทางกันดาร ฯ | ||
๏ ถึงที่วังตั้งประทับรับเสด็จ | มาทรงเบ็ดปลากะโห้ไม่สังหาร | ||
ให้ปล่อยไปในทะเลเอาเพดาน | แต่โบราณเรียกว่าองค์พระทรงปลา | ||
แต่เดี๋ยวนี้ที่วังก็รั้งร้าง | เป็นรอยทางทุบปราบราบรุกขา | ||
ยังแลเลี่ยนเตียนดีที่พลับพลา | นึกระอาอนิจจังไม่ยั่งยืน | ||
เดิมเป็นป่ามาเป็นวังตั้งประทับ | แล้วก็กลับไปเป็นป่าไม่ฝ่าฝืน | ||
เหมือนมียศลดลงไม่คงคืน | นึกสะอื้นอายใจมาในเรือ ฯ | ||
๏ ถึงบางหอหอใครที่ไหนหนอ | มาปลูกหอเสน่หาในป่าเสือ | ||
อันย่านนี้ที่บนบกก็รกเรื้อ | ทั้งทางเรือจระเข้ก็เฉโก | ||
ถึงเจ้าสาวชาวสวรรค์ฉันไม่อยู่ | จะโศกสู้เอกาอนาโถ | ||
ด้วยพรั่นตัวกลัวเสือก็เหลือโซ | เห็นแต่โพธิ์ทะเลจระเข้ลอย | ||
ทั้งเหลืองดำคร่ำคร่าล้วนกล้าแกล้ว | จนเรือแจวจวนใกล้มิใคร่ถอย | ||
ดูน่ากลัวตัวใหญ่มิใช่น้อย | ต่างคนคอยภาวนาอุตส่าห์สำรวม | ||
เห็นนกบินกินปลาล้วนน่ารัก | นกปักหลักลงน้ำเสียงต้ำป๋วม | ||
นกกระเต็นเต้นตามนกกามกวม | กับเหี้ยต้วมเตี้ยมต่ายตามชายเลน ฯ | ||
๏ ไปครู่หนึ่งถึงเขาตะคริวสวาท | มีอาวาสวัดวามหาเถร | ||
มะพร้าวรอบขอบที่บริเวณ | พอจวนเพลพักร้อนผ่อนสำราญ | ||
กับหนูพัดจัดธูปเทียนดอกไม้ | จะขึ้นไหว้พระสัมฤทธิ์พิษฐาน | ||
เขานับถือลืออยู่แต่บุราณ | ใครบนบานพระรับช่วยดับร้อน | ||
ขึ้นลานวัดทัศนาดูอาวาส | ศิลาลาดเลียบเดินเนินสิงขร | ||
พฤกษาออกดอกช่ออรชร | หอมขจรจำปาสารภี | ||
ต้นโพธิ์ไทรไม้งอกตามซอกหิน | อินทนิลนางแย้มสอดแซมสี | ||
เหล่าลั่นทมร่มรอบขอบคิรี | สุมาลีหล่นกลาดดูดาษดิน | ||
ได้ชมเพลินเดินมาถึงหน้าโบสถ์ | สมาโทษถือเทียนเวียนทักษิณ | ||
เคารพสามตามกำหนดหมดมลทิน | กับหนูนิลหนูพัดเข้ามัสการ | ||
ได้สรงน้ำชำระพระสัมฤทธิ์ | ถวายธูปเทียนอุทิศพิษฐาน | ||
ขอเดชะพระสัมฤทธิ์พิสดาร | ท่านเชี่ยวชาญเชิญช่วยด้วยสักครั้ง | ||
ให้ได้แหวนแทนทรงสักวงหนึ่ง | กับแพรซึ่งหอมห่มให้สมหวัง | ||
แม้นได้ของสองสิ่งเห็นจริงจัง | จะแต่งตั้งบายศรีมีละคร | ||
ทั้งเทียนเงินเทียนทองของเสวย | เหมือนเขาเคยบูชาหน้าสิงขร | ||
สาธุสะพระสัมฤทธิ์ประสิทธิ์พร | ให้ได้นอนฟูกฟูเหมือนชูชก ฯ | ||
๏ แล้ววันทาลาเลียบลงเหลี่ยมเขา | พอบังเงาแดดร่มทั้งลมตก | ||
ออกนาวามาทางบ้านบางครก | มะพร้าวดกดูสล้างสองข้างคลอง | ||
มีส้มสูกลูกไม้เหมือนในสวน | ตลอดล้วนเรียงรายเรียกขายของ | ||
เขาเลียนล้อต่อถามตามทำนอง | ไม่ยิ้มย่องนิดหน่อยอร่อยใจ | ||
จนเรือออกนอกชะวากปากบางครก | ต้องเลี้ยววกไปตามลำแม่น้ำไหล | ||
เป็นถิ่นฐานบ้านนาป่ารำไร | เขาทำไร่ถั่วผักปลูกฟักแฟง | ||
แต่ฟักทองร้องเรียกว่าน้ำเต้า | ฟักเขียวเล่าเรียกว่าขี้พร้าแถลง | ||
ล้วนเลี้ยงวัวทั่วถิ่นได้กินแรง | แต่เสียงแปร่งเปรี้ยวหูไม่รู้กลัว | ||
เจ้าสำนวนชวนตีแต่ฝีปาก | พูดด้วยยากชาวบางกอกจนกลอกหัว | ||
แสนแสงอนค้อนว่าค่อนด่าวัว | เขาตัดหัวแขนห้อยร้อยประการ | ||
ล้วนแช่งซ้ำล้ำเหลืออ้ายเสือขบ | ลำเลิกทบทวนชาติเสียงฉาดฉาน | ||
อ้ายวัวเฒ่าเขาล้มคือสมภาร | มันขี้คร้านทดข้าวเขาจึ่งแทง ฯ | ||
๏ ถึงบ้านใหม่ไถ่ถามตามสงสัย | ว่ายังไกลอยู่หรือบ้านท่านขุนแขวง | ||
ไม่บอกก่อนย้อนถามเป็นความแคลง | จะพายแรงหรือว่านายจะพายเบา | ||
ถ้าพายหนักสักครู่หนึ่งก็ถึงดอก | สำนวนนอกน้ำเพชรแล้วเข็ดเขา | ||
บ้างโห่ฉาวกราวเกรียวเกี่ยวข้าวเบา | บ้างตั้งเตาเคี่ยวตาลพานอุดม ฯ | ||
๏ ถึงบางกุ่มหนุ่มแก่สาวแซ่ซ้อง | มีบ้านสองฟากข้ามนามประถม | ||
ข้างซ้ายมือชื่อบ้านสะท้านยายนม | น่าใคร่ชมชื่นจิตคิดรำพึง | ||
อย่างไรหรือชื่อเช่นนั้นขันหนักหนอ | หรือแกล้งล้อจะให้นึกรำลึกถึง | ||
ถึงบ้านโพธิ์โอ้นึกไปลึกซึ้ง | เคยมาพึ่งพักร้อนแต่ก่อนไร | ||
กับขุนรองต้องเป็นแพ่งตำแหน่งพี่ | สถิตที่ทับนาพออาศัย | ||
เป็นคราวเคราะห์เพราะนางนวลมากวนใจ | จึงจำใจให้หมองหมางเพราะขวางคอ | ||
นึกชมบุญขุนรองร้องท่านแพ่ง | เธอซ่อมแปลงปลูกทับกลับเป็นหอ | ||
จนผู้เฒ่าเจ้าเมืองนั้นเคืองพอ | เพราะล้วงคอเคืองขัดถึงตัดรอน ฯ | ||
๏ โอ้สงสารท่านรองเคยครองรัก | เมื่อมาพักบ้านโพธิ์สโมสร | ||
เคยร่วมใจไหนจะร่วมนวมที่นอน | ทั้งร่วมร้อนร่วมสุขสนุกสบาย | ||
แต่เดือนสี่ปีระกานิราร้าง | ไปอยู่บางกอกไกลกันใจหาย | ||
เห็นถิ่นฐานบ้านเรือนเพื่อนหญิงชาย | แสนเสียดายดูหน้านึกอาลัย ฯ | ||
๏ ถึงต้นตาลบ้านคุณหม่อมบุนนาค | เมื่อยามยากจนมาได้อาศัย | ||
มารดาเจ้าคราวพระวังหลังครรไล | มาทำไร่ทำนาท่านการุญ | ||
เมื่อเจ็บป่วยช่วยรักษาจะหาคู่ | จะขอสู่ให้เป็นเนื้อช่วยเกื้อหนุน | ||
ยังยากไร้ไม่มีของสนองคุณ | ขอแบ่งบุญให้ท่านทั่วทุกตัวตน | ||
ทั้งนารีที่ได้รักลักรำลึก | เป็นแต่นึกลับหลังหลายครั้งหน | ||
ขอสมาอย่าได้มีราคีปน | เป็นต่างคนต่างแคล้วแล้วกันไป | ||
แต่ปรางทองน้องหญิงยังจริงจิต | แนบสนิทนับเชื้อว่าเนื้อไข | ||
จะแวะหาสารพัดยังขัดใน | ต้องอายใจจำลากลัวช้าการ ฯ | ||
๏ ถึงอารามนามที่กุฎีทอง | ดูเรืองรองรุ่งโรจน์โบสถ์วิหาร | ||
ริมอารามข้ามน้ำทำตะพาน | นมัสการเดินมาในวารี | ||
ถึงคุ้งเคี้ยวเลี้ยวลดชื่อคดอ้อย | ตะวันคล้อยคล้ำฟ้าในราศี | ||
ค่อยคล่องแคล่วแจวรีบถึงพริบพรี | ประทับที่หน้าท่าพลับพลาชัย | ||
ด้วยวัดนี้ที่สำหรับประทับร้อน | นรินทรท้าวพระยามาอาศัย | ||
ขอเดชะอานุภาพช่วยปราบภัย | ให้มีชัยเหมือนเช่นนามอารามเมือง | ||
ดูเรือแพแซ่ซ้องทั้งสองฟาก | บ้างขายหมากขายพลูหนวกหูเหือง | ||
นอนค้างคืนตื่นเช้าเห็นชาวเมือง | ดูนองเนืองนาวาบ้างมาไป ฯ | ||
๏ ได้เยี่ยมเยือนเรือนบ้านท่านขุนแพ่ง | มาปลูกแปลงแปลกกว่าเมื่ออาศัย | ||
ด้วยศึกลาวคราวนั้นเธอบรรลัย | ไม่มีใครครอบครองจึ่งหมองมัว | ||
แสนสงสารท่านผู้หญิงมิ่งเมียหลวง | เฝ้าข้อนทรวงเสียใจอาลัยผัว | ||
ทั้งเมียน้อยอ้อยอิ่งหญิงคนครัว | พากันมัวหมองคล้ำระกำตรอม | ||
เมื่อมาเรือนเยือนศพได้พบพักตร์ | ไม่หมองนักคราวนี้รูปช่างซูบผอม | ||
เพราะครวญคร่ำกำสรดสู้อดออม | เหมือนแก่งอมหงิมเงียบเซียบสำเนียง | ||
โอ้อกเอ๋ยเคยสำราญอยู่บ้านนี้ | ได้ฟังปี่พาทย์เพราะเสนาะเสียง | ||
ทั้งหญิงชายฝ่ายเพื่อนริมเรือนเรียง | เคยพร้อมเพรียงเพรางายสบายใจ | ||
โอ้คิดคุณขุนแพ่งเสียแรงรัก | ไม่พบพักตร์พลอยพาน้ำตาไหล | ||
ได้สวดทั้งบังสุกุลแบ่งบุญไป | ให้ท่านได้สู่สวรรค์ชั้นวิมาน ฯ | ||
๏ แล้วอำลาอาลัยใจจะขาด | จำนิราศแรมร้างห่างสถาน | ||
ลงเรือจอดทอดท่าหน้าตะพาน | แสนสงสารศิษย์หาออกมาอึง | ||
เห็นหน้าน้องทองมีอารีรัก | ครั้นจะทักเล่าก็กลัวผัวจะหึง | ||
ได้เคยเห็นเป็นฝีมือมักดื้อดึง | จะตูมตึงแตกซ้ำระยำเยิน | ||
ทั้งที่ปรางค์นางใหญ่ได้ให้ผ้า | เมื่อครั้งมาสอนบุตรสุดสรรเสริญ | ||
ได้ห่มหนาวคราวระกำจงจำเริญ | ยังเชื้อเชิญชวนชักรักอารมณ์ ฯ | ||
๏ แล้วไปบ้านท่านแพ่งตำแหน่งใหม่ | ยังรักใคร่ครองจิตสนิทสนม | ||
ที่ธุระจะใคร่ได้ใจนิยม | เขารับสมปรารถนาสามิภักดิ์ | ||
จะกลับหลังยังมิได้ดั่งใจชั่ว | ต้องไปทั่วบ้านเรือนเพื่อนรู้จัก | ||
เมื่อเป็นบ้ามาคนเดียวเที่ยวสำนัก | เขารับรักรู้คุณกรุณา | ||
ที่ไหนไหนไมตรียังดีสิ้น | เว้นแต่อินวัดเกศของเชษฐา | ||
ช่างตัดญาติขาดเด็ดไม่เมตตา | พอเห็นหน้าน้องก็เบือนไม่เหมือนเคย | ||
โอ้คิดแค้นแหวนประดับกับแพรเพลาะ | เป็นคราวเคราะห์เพราะเป็นบ้านิจจาเอ๋ย | ||
จนรักตายกลายตอเป็นกอเตย | ไม่เห็นเลยว่าจะเป็นไปเช่นนั้น ฯ | ||
๏ โอ้คิดถึงพึ่งบุญท่านขุนแพ่ง | ไปหน้าแล้งรับแขกแรกวสันต์ | ||
ตำข้าวเม่าเคล้าน้ำตาลทั้งหวานมัน | ได้ช่วยกันคั้นขยำน้ำกะทิ | ||
เขาไปเที่ยวเกี่ยวข้าวอยู่เฝ้าห้อง | เหมือนพี่น้องนึกโอ้อโหสิ | ||
เนื้อเอ๋ยเนื้อเหลือเจ็บจนเล็บลิ | ยังปริปริปริ่มพร้อยเป็นรอยราย | ||
ครั้นไปเยือนเรือนหลานบ้านวัดเกาะ | ยังทวงเพลาะแพรดำที่ทำหาย | ||
ต้องใช้สีทับทิมจึ่งยิ้มพราย ฯ | วิลาสลายลอยทองสนองคุณ ฯ | ||
๏ แล้วไปบ้านตาลเรียงเคียงบ้านไร่ | ที่นับในน้องเนื้อช่วยเกื้อหนุน | ||
พอวันนัดชัดน้ำเขาทำบุญ | เห็นคนวุ่นหยุดยั้งยืนรั้งรอ | ||
เขาว่าน้องของเราเป็นเจ้าสาว | ไม่รู้ราวเรื่องเร่อมาเจอหอ | ||
เหมือนจุดไต้ว่ายน้ำมาตำตอ | เสียแรงถ่อกายมาก็อาภัพ | ||
จะแทนบุญคุณมาประสายาก | ต้องกระดากดังหนึ่งศรกระดอนกลับ | ||
ได้ฝากแต่แพรผ้ากับป้าทรัพย์ | ไว้สำรับหนึ่งนั้นทำขวัญน้อง | ||
ไปปีหนึ่งครึ่งปีเมื่อมีลูก | จะมาผูกมือบ้างอย่าหมางหมอง | ||
แล้วมาเรือเหลือรำลึกเฝ้าตรึกตรอง | เที่ยวฉลองคุณท่านทุกบ้านเรือน ฯ | ||
๏ แค้นแต่ขำกรรมอะไรไฉนน้อง | เฝ้าท้องท้องทุกทุกปีไม่มีเหมือน | ||
ช่างกระไรใจจิตไม่บิดเบือน | จะไปเยือนเล่าก็รู้ว่าอยู่ไฟ | ||
จึงฝากคำทำกลอนไว้สอนสั่ง | เมื่อมิฟังพี่ห้ามตามวิสัย | ||
พอวันพระศรัทธาพากันไป | เที่ยวแวะไหว้พระอารามตามกำลัง | ||
พระพุทธเจ้าหลวงสร้างแต่ปางหลัง | สาธุสะพระนอนสิงขรเขา | ||
ยี่สิบวาฝากั้นเป็นบัลลังก์ | ดูเปล่งปลั่งปลื้มใจกระไรเลย | ||
พระเนตรหลับทับพระบาทไสยาสน์เหยียด | อ่อนละเมียดอาสนะพระเขนย | ||
พระเจ้างามยามประทมน่าชมเชย | ช่วยรำเพยพัชนีนั่งวีลม | ||
แล้วนึกว่าหน้าหนาวมาคราวนี้ | ถึงแท่นที่พระสถิตสนิทสนม | ||
ยังมีแต่แพรหอมถนอมชม | ได้คลี่ห่มหุ้มอุระพระประธาน | ||
อุทิศว่าผ้านี้ของพี่น้อง | ฝ่ายเจ้าของขาดรักสมัครสมาน | ||
มาห่มพระจะให้ผลดลบันดาล | ได้พบพานภายหน้าสถาพร | ||
ทั้งรูปงามทรามประโลมโฉมแฉล้ม | ขอให้แก้มสองข้างอย่างเกสร | ||
ทั้งเนื้อหอมพร้อมสิ้นกลิ่นขจร | คนแสนงอนให้มาง้อมาขอชิม | ||
หนึ่งผ้าข้าได้ห่มประทมพระ | ขอทิฏฐะจงเห็นเป็นปัจฉิม | ||
ให้มีใหม่ได้ดีสีทับทิม | ทั้งขลิบริมหอมฟุ้งปรุงสุคนธ์ | ||
ทั้งศิษย์หาผ้ามีต่างคลี่ห่ม | คลุมประทมพิษฐานการกุศล | ||
ขอเนื้อหอมพร้อมกันเหมือนจันทน์ปน | ได้เยาะคนขอจูบรักรูปเรา ฯ | ||
๏ แล้วลดเลี้ยวเที่ยวไปบันไดอิฐ | ต่างเพลินพิศเพิงผารุกขาเขา | ||
จิกจันทน์แจงแทงทวยกรวยกันเกรา | โมกข์แมงเม่าไม้งอกซอกศิลา | ||
เหล่าลั่นทมยมโดยร่วงโรยกลิ่น | ระรวยรินรื่นรื่นชื่นนาสา | ||
โบสถ์วิหารลานวัดทัศนา | ล้วนศิลาแลสะอาดด้วยกวาดเตียน | ||
มีกุฎีที่พระสงฆ์ทรงสถิต | พฤกษาชิดชั้นไผ่เหมือนไม้เขียน | ||
น่าสนุกรุกขชาติดาษเดียร | เที่ยวเดินเวียนวงรอบขอบคีรี ฯ | ||
๏ พอแดดร่มลมชายสบายจิต | เที่ยวชมทิศทุ่งทางกลางวิถี | ||
ทั่วประเทศเขตแคว้นแดนพริบพรี | เหมือนจะชี้ไปไม่พ้นแต่ต้นตาล | ||
ที่พวกทำน้ำโตนดประโยชน์ทรัพย์ | มีดสำหรับเหน็บข้างอย่างทหาร | ||
พะองยาวก้าวตีนปีนทะยาน | กระบอกตาลแขวนกันคนละพวง | ||
แต่ใจดีที่ว่าใครเข้าไปขอ | ให้กินพออิ่มอุทรบห่อนหวง | ||
ได้ชื่นฉ่ำน้ำตาลหวานหวานทรวง | ขึ้นเขาหลวงเลียบเดินเนินบันได | ||
ดูเย็นชื่นรื่นร่มพนมมาศ | รุกขชาติช่อดอกออกไสว | ||
บ้างหล่นร่วงพวงผกาสุมาลัย | ต่างเด็ดได้เดินดมบ้างชมดวง | ||
ภุมรินบินว่อนเที่ยวร่อนร้อง | เหมือนเสียงฆ้องหึ่งหึ่งล้วนผึ้งหลวง | ||
เวียนประเวศเกษราบุปผาพวง | ได้เชยดวงดอกไม้เหมือนใจจง ฯ | ||
๏ โอ้อกน้องท่องเที่ยวมาเปลี่ยวจิต | ไม่มีมิตรที่จะชมสมประสงค์ | ||
กับหนูน้อยพลอยเพลินเที่ยวเดินวง | ขึ้นถึงองค์พระเจดีย์บนคีริน | ||
ต่างเหนื่อยบอบนอบน้อมอยู่พร้อมพรั่ง | บ้างหยุดนั่งเอนนอนกับก้อนหิน | ||
เห็นประเทศเขตแคว้นในแดนดิน | มีบ้านถิ่นทิวไม้ไรไรราย | ||
คีรีรอบขอบเขื่อนดูเหมือนเมฆ | แลวิเวกหวาดหวั่นยิ่งขวัญหาย | ||
เห็นทะเลเคหาหน้าหาดทราย | ดูเรียงรายเรี่ยเรี่ยเตี้ยติดดิน | ||
ได้ชมเพลินเมินมุ่งดูทุ่งกว้าง | มีแถวทางเถื่อนท่าชลาสินธุ์ | ||
ฝูงวิหคนกกาเที่ยวหากิน | บ้างโบยบินว้าว่อนบ้างร่อนเรียง | ||
ที่ไร้คู่อยู่เดียวก็เที่ยวร้อง | ประสานซ้องสกุณาภาษาเสียง | ||
กินปลีเปล้าเขาไฟจับไม้เรียง | กรอดเคียงคู่กรอดแล้วพลอดเพลิน | ||
รอกกระแตแลโลดกระโดดแล่น | กระต่ายเต้นตามลำเนาภูเขาเขิน | ||
ที่ทุ่งกว้างกลางหนเห็นคนเดิน | หาบน้ำตาลคานเยิ่นหยอกเอินกัน | ||
ทั้งล้อเกวียนเดียรดาษดูกลาดเกลื่อน | ทุกถิ่นเถื่อนทุ่งแถวแพ้วจังหัน | ||
โสมนัสทัศนาจนสายัณห์ | แล้วพากันเข้าในถ้ำน่าสำราญ ฯ | ||
๏ มีพระไสยาสน์พระบาทเหยียด | คนมันเบียดเบียนขุดสุดสงสาร | ||
พระทรวงพังทั้งพระเพลาก็ร้าวราน | โอ้ชาวบ้านช่างไม่สร้างขึ้นบ้างเลย | ||
ทั้งผนังพังทับอยู่กับถ้ำ | โอ้นึกน้ำตาตกเจียวอกเอ๋ย | ||
ดูว้างเวิ้งเชิงพนมน่าชมเชย | ต่างแหงนเงยชมชะง่อนก้อนศิลา | ||
เป็นลดหลั่นชั้นช่องมีห้องหับ | แลสลับเลื่อมคล้ายลายเลขา | ||
กลางคิรินหินห้อยย้อยระย้า | ดาษดาดูดูดังพู่พวง | ||
ฉะเช่นนี้มีฤทธิ์จะคิดช้อน | เอาสิงขรเข้าไปตั้งริมวังหลวง | ||
เห็นหนุ่มสาวชาวบุรินสิ้นทั้งปวง | จะแหนหวงห้องหับถึงจับกุม | ||
เขาตั้งอ่างกลางถ้ำมีน้ำย้อย | ดูผ็อยผ็อยเผาะลงที่ตรงหลุม | ||
เป็นไคลคล้ำน้ำแท่งกลับแข็งคุม | เป็นหินหุ้มอ่างอิฐสนิทดี ฯ | ||
๏ แล้วเดินดูภูผาศิลาเลื่อม | บ้างงอกเงื้อมเงาระยับสลับสี | ||
เป็นห้องน้อยรอยหนังสือลายมือมี | คิดถึงปีเมื่อเป็นบ้าเคยมานอน | ||
ชมลูกจันกลั่นกลิ่นระรินรื่น | จนเที่ยงคืนแขนซ้ายกลายเป็นหมอน | ||
เห็นห้องหินศิลาน่าอาวรณ์ | เคยกล่าวกลอนกล่อมช้าโอ้ชาตรี | ||
พอจวนรุ่งฝูงนกวิหคร้อง | เรไรซ้องเสียงจังหรีดดังดีดสี | ||
คิดคะนึงถึงตัวกลัวต้องตี | ต่อช้าปีจึงค่อยวายฟายน้ำตา | ||
โอ้ยามยากจากบุรินมาถิ่นเถื่อน | ไม่มีเรือนแรมอยู่ในคูหา | ||
เดือนสว่างต่างไต้เมื่อไสยา | แผ่นศิลาต่างฟูกกระดูกเย็น | ||
ยังรินรินกลิ่นกลั่นจันทน์กระแจะ | เหมือนจะแนะนำจิตให้คิดเห็น | ||
เหลือรำลึกนึกน่าน้ำตากระเด็น | โอ้จำเป็นเป็นกรรมจึงจำไกล | ||
มาเห็นถ้ำน้ำตาลงพรากพราก | แต่เพื่อนยากยังไม่เห็นว่าเป็นไฉน | ||
จะไปเรือนเยือนเยี่ยมก็เจียมใจ | ขอสั่งไว้เถิดถ้ำที่ช้ำทรวง | ||
อันถ้ำนี้ที่มนุษย์หยุดกินน้ำ | มิใช่ถ้ำของอิเหนาถ้ำเขาหลวง | ||
เขาช่วยเล่าเถิดว่าเขาไม่ล่อลวง | แต่เขาหวงเขาห้ามต้องขามใจ | ||
จึงเขียนกลอนนอนค้างไว้ต่างพักตร์ | หวังประจักษ์มิ่งมิตรพิสมัย | ||
จะภิญโญโมทนาให้อาภัย | อย่าน้อยใจเลยถ้ำขออำลา ฯ | ||
๏ แล้วลัดออกนอกลำเนาภูเขาหลวง | ดูเด่นดวงเดือนสว่างกลางเวหา | ||
โอ้เย็นฉ่ำน้ำค้างที่กลางนา | เสียงปักษาเพรียกพลอดบนยอดตาล | ||
มาตามทางหว่างโตนดลิงโลดจิต | แต่พวกศิษย์แสนสุขสนุกสนาน | ||
เห็นกระต่ายไล่โลดโดดทะยาน | เสียงลูกตาลกรากตึงตะลึงแล | ||
ต่างชิมชมดมเดินเจริญรื่น | เที่ยวชมชื่นเขตแขวงด้วยแสงแข | ||
ต่างลดเลี้ยวเที่ยวเด็ดดอกแคแตร | ได้เห็นแต่นกน้อยต้อยตีวิด | ||
สักสองยามตามทักล้วนปักษา | เสียงแจ้วจ้าจ้อยเจี๋ยวเตี๋ยวเตี๋ยวติด | ||
โอ้ฟังฟังหวังสวาทไม่ขาดคิด | ช่างไม่ผิดเสียงสาวชาวพริบพรี ฯ | ||
๏ แล้วเลี้ยวลงตรงหน้าวัดพระธาตุ | พอเดือนคลาดคล้อยจำรัสรัศมี | ||
ดูพระปรางค์กลางอารามก็งามดี | แต่ไม่มีเงาบ้างเป็นอย่างไร | ||
สาธุสะพระมหาตถาคต | ยังปรากฏมิได้เสื่อมที่เลื่อมใส | ||
พอไก่ขันวันทาลาครรไล | ลงเรือใหญ่ล่องมาถึงธานี ฯ | ||
๏ จึงจดหมายรายความตามสังเกต | ถิ่นประเทศแถวทางกลางวิถี | ||
ให้อ่านเล่นเป็นเรื่องเมืองพริบพรี | ผู้ใดมีคุณก็ได้ไปแทนคุณ | ||
ทั้งผ้าหอมย้อมเหลืองได้เปลื้องห่ม | พระประทมที่ลำเนาภูเขาขุน | ||
กุศลนั้นบรรดาที่การุญ | รับส่วนบุญเอาเถิดท่านที่อ่านเอย ฯ | ||